แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองทำงานที่บริษัท ส.ด้วยกัน ในวันเวลาเมื่อจำเลยที่ 1 ทราบว่าสายลับมาขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจำเลยที่ 1 ได้เรียกจำเลยที่ 2 มาขายให้แก่สายลับและร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการเจรจาเรียกราคาเมทแอมเฟตามีนเมื่อสายลับตกลงซื้อ จำเลยที่ 1 ก็รับเงินจากสายลับแล้วมอบให้แก่จำเลยที่ 2 ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแม้จำเลยที่ 1จะมิได้เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนจำนวนที่ขายให้แก่สายลับก็ตาม แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นและมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น เมื่อจำเลยที่ 1 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 และได้กระทำการอันเป็นส่วนหนึ่งแห่งการขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดเข้าลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการในความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ,62, 89, 106 ทวิ, 116 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2535 มาตรา 5, 9, 13, 16 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 51 (พ.ศ.2531) เรื่อง ระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ลงวันที่ 27 มิถุนายน2531 ข้อ 3 (7) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 85(พ.ศ. 2536) เรื่องกำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ในประเภทที่ 1 หรือประเภทที่ 2ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 ลงวันที่ 19 มกราคม 2536 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 83, 91 ริบวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขและริบถุงพลาสติกกับเงินของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฎิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89, 116 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี เฉพาะจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 ปี ริบวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ริบถุงพลาสติกและเงิน 6,000 บาท ของกลางคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้คืนเงิน 16,850 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86ลงโทษจำคุก 4 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 ลงโทษจำคุก 12 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ขายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 40 เม็ด ตามฟ้องโจทก์หรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยที่ 1มิได้โต้แย้งว่า จำเลยทั้งสองทำงานที่บริษัทสหหล่มสักขนส่งจำกัด ด้วยกันในวันเวลาเกิดเหตุ เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบว่าสายลับมาขอซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ได้เรียกจำเลยที่ 2 มาขายให้แก่สายลับ และร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการเจรจาราคาเมทแอมเฟตามีนจากราคาเม็ดละ 20 บาท เป็นเม็ดละ 25 บาท เมื่อสายลับตกลงซื้อจำเลยที่ 1 ก็รับเงินจำนวน 1,000 บาท จากสายลับแล้วมอบให้แก่จำเลยที่ 2 ดังนี้ เห็นว่าตามพฤติการณ์ดังกล่าวแม้จำเลยที่ 1 จะมิได้เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนจำนวน 40 เม็ด ที่ขายให้แก่สายลับก็ตามแต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นและมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นหาใช่เป็นเพียงแนะนำให้สายลับทราบว่ายาม้ามีขายเท่านั้นไม่เมื่อจำเลยที่ 1 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2และได้กระทำการอันเป็นส่วนหนึ่งแห่งการขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดเข้าลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการในความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิวรรคหนึ่ง, 89 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุก12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์