คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9024-9026/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คดีอาญาหมายเลขแดงที่18442/2535และหมายเลขแดงที่19080/2536ของศาลชั้นต้นจำเลยจะฎีกาไม่ได้เพราะต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งก็ตามแต่คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวนั้นศาลชั้นต้นได้รวมพิจารณากับคดีอาญาหมายเลขแดงที่19081/2536ของศาลชั้นต้นเพราะโจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องและนำสืบว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสามสำนวนรวม13ฉบับเพื่อชำระหนี้ค่าทำรองเท้าตามใบส่งของเอกสารหมายจ.14หรือจ.18รวมราคา300,000บาทเศษเช่นเดียวกันคดีทั้งสามสำนวนจึงมีมูลกรณีเดียวกันเป็นคดีเกี่ยวพันกันและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกันแล้วการฟังพยานหลักฐานก็ต้องฟังรวมเป็นคดีเดียวกันเมื่อจำต้องฟังพยานหลักฐานรวมกันเช่นนี้หากการกระทำของจำเลยในสำนวนใดไม่เป็นความผิดแล้วศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจพิจารณาไปถึงข้อเท็จจริงในสำนวนนั้นด้วยเมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่19081/2536ของศาลชั้นต้นจำเลยฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่18442/2535และหมายเลขแดงที่19080/2536ของศาลชั้นต้นศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาถึงคดีดังกล่าวทั้งสองสำนวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยสำนวนแรกเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 14389/2535 หมายเลขแดงที่ 18442/2535 สำนวนที่สองเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 18317/2535หมายเลขแดงที่ 19081/2536 และสำนวนที่สามเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 664/2536 หมายเลขแดงที่ 19080/2536
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม 2535ถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2535 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารสหธนาคาร จำกัด สาขาประตูน้ำรวม 4 ฉบับ ลงวันที่ 22, 29 และ 30 กรกฎาคม 2535 จำนวนเงินฉบับละ 22,410 บาท 32,400 บาท และ 21,347 บาท ตามลำดับและลงวันที่ 20 สิงหาคม 2535 จำนวนเงิน 28,220 บาท เพื่อชำระหนี้ค่าจ้างทำของแก่โจทก์
สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2535เวลากลางวัน วันใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด สาขาราชปรารภ รวม 6 ฉบับลงวันที่ 16, 24, 28 และ 31 สิงหาคม 2535 จำนวนเงินฉบับละ18,130 บาท 25,155 บาท 28,800 บาท และ 43,480 บาท ตามลำดับลงวันที่ 9 และ 14 กันยายน 2535 จำนวนเงิน 22,400 บาท และ35,100 ตามลำดับ มอบให้แก่นายลี่แผน คูณสิริไพบูลย์ ผู้เสียหายเพื่อเป็นการชำระหนี้แก่ผู้เสียหาย
สำนวนที่สามโจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2535ถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2535 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัดสาขาราชปรารภ รวม 3 ฉบับ ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2535 จำนวนเงิน20,070 บาท ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2535 จำนวนเงิน 48,000 บาทและลงวันที่ 26 ธันวาคม 2535 จำนวนเงิน 20,000 บาท เพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าจ้างทำของแก่โจทก์
ครั้นเมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด โจทก์ในสำนวนแรกและสำนวนที่สาม และผู้เสียหายในสำนวนที่สองได้นำไปเรียกเก็บเงินโดยผ่านธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาพระรามสี่ ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 22, 29, 30 กรกฎาคม 2535 และวันที่ 20 สิงหาคม 2535ตามลำดับธนาคารสหธนาคาร จำกัด สาขาประตูน้ำ ได้ปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น โดยให้เหตุผลว่าบัญชีปิดแล้ว วันที่ 17,24, 28 และ 31 สิงหาคม 2535 วันที่ 9 และ 14 กันยายน 2535วันที่ 26 ตุลาคม 2535 วันที่ 23 พฤศจิกายน 2535 และวันที่28 ธันวาคม 2535 ตามลำดับ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัดสาขาราชปรารภ ปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น ทั้งนี้โดยจำเลยออกเช็คดังกล่าวโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเหตุตามสำนวนแรกและสำนวนที่สามเกิดที่แขวงมักกะสัน เขตราชเทวีกรุงเทพมหานคร สำนวนที่สองเกิดที่แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวีกรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2536
สำนวนแรกและสำนวนที่สาม ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
สำนวนที่สองระหว่างพิจารณา นายลี่แผน คูณสิริไพบูลย์ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมความผิด จำคุกกระทงละ 1 เดือน เรียงกระทงลงโทษ 13 กระทงรวมจำคุก 13 เดือน
จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยนายทองธาร เหลืองเรืองรอง ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาเฉพาะคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 18317/2535หมายเลขแดงที่ 19081/2536 อนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่านายทองธาร เหลืองเรืองรองเป็นผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาแต่เฉพาะคดีอาญาหมายเลขดำที่ 18317/2535หมายเลขแดงที่ 19081/2536 ของศาลชั้นต้นเท่านั้น ฉะนั้นคดีสำนวนอื่นจึงไม่มีผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษารับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา คดีอาญาหมายเลขดำที่ 14389/2535หมายเลขแดงที่ 18442/2535 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 664/2536หมายเลขแดงที่ 19080/2536 มาด้วย จึงไม่ชอบ ในชั้นนี้จะวินิจฉัยเฉพาะคดีอาญาหมายเลขดำที่ 18317/2535 หมายเลขแดงที่ 19081/2536ของศาลชั้นต้น มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิดในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 18317/2535 หมายเลขแดงที่ 19081/2536ของศาลชั้นต้นตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพยานโจทก์ร่วมขัดกันเองไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อและเจือสมกับพยานจำเลยพยานจำเลยจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อและฟังหักล้างพยานโจทก์และโจทก์ร่วมได้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เช็คพิพาทในคดีนี้ไม่มีมูลหนี้
สำหรับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 14389/2535 หมายเลขแดงที่ 18442/2535 ของศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมฟ้องและนำสืบว่า ได้รับเช็คพิพาทในคดีดังกล่าวรวม 4 ฉบับ ประมาณกลางปี 2535 โดยจำเลยออกเพื่อชำระหนี้ค่าว่าจ้างทำรองเท้าตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.14เช่นเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 18317/2535 หมายเลขแดงที่ 19081/2536 ของศาลชั้นต้น และศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่ารองเท้าจึงลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้
ส่วนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 664/2536 หมายเลขแดงที่ 19080/2536ของศาลชั้นต้น ปรากฏว่า โจทก์ร่วมฟ้องและนำสืบว่า เช็คพิพาทโจทก์ร่วมได้รับจากจำเลยเมื่อเดือนกรกฎาคมและกันยายน 2535โดยจำเลยนำมาชำระค่ารองเท้าตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.14เช่นเดียวกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 18317/2535 หมายเลขแดงที่ 19081/2536 และในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 664/2536หมายเลขแดงที่ 19080/2536 ของศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า หลังทำบันทึกเอกสารหมาย ล.1คือวันที่ 22 มิถุนายน 2535 แล้วโจทก์ร่วมไม่เคยส่งรองเท้าให้จำเลยฉะนั้น ที่โจทก์ร่วมเบิกความว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสามฉบับเพื่อชำระหนี้ค่าทำรองเท้าให้โจทก์ร่วมในเดือนกรกฎาคมและกันยายน2535 จึงไม่น่าเชื่อเพราะเป็นเวลาหลังจากวันที่โจทก์ร่วมไม่ได้ส่งรองเท้าให้จำเลยแล้ว ไม่มีเหตุที่จำเลยจะออกเช็คพิพาททั้งสามฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่ารองเท้า เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสามฉบับให้โจทก์ร่วมเพื่อชำระหนี้ค่ารองเท้าจึงลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้เช่นเดียวกัน ศาลฎีกาเห็นว่าแม้คดีอาญาหมายเลขดำที่ 14389/2535 หมายเลขแดงที่ 18442/2535และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 664/2536 หมายเลขแดงที่ 19080/2536ของศาลชั้นต้น จำเลยจะฎีกาไม่ได้ตามที่วินิจฉัยข้างต้นก็ตามแต่คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวนั้นศาลชั้นต้นได้รวมพิจารณากับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 18317/2535 หมายเลขแดงที่ 19081/2536ของศาลชั้นต้น เพราะโจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องและนำสืบว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสามสำนวนรวม 13 ฉบับ เพื่อชำระหนี้ค่าทำรองเท้าตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.14 หรือ จ.18 รวมราคา 300,000 บาทเศษเช่นเดียวกัน คดีทั้งสามสำนวนจึงมีมูลกรณีเดียวกัน เป็นคดีเกี่ยวพันกัน และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกันแล้ว การฟังพยานหลักฐานก็ต้องฟังรวมเป็นคดีเดียวกันเมื่อจำต้องฟังพยานหลักฐานรวมกันเช่นนี้ หากการกระทำของจำเลยในสำนวนใดไม่เป็นความผิดแล้ว ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจพิจารณาไปถึงข้อเท็จจริงในสำนวนนั้นด้วย เมื่อคดีอาญาหมายเลขดำที่ 18317/2535หมายเลขแดงที่ 19081/2536 ของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 14389/2535หมายเลขแดงที่ 18442/2535 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 664/2536หมายเลขแดงที่ 19080/2536 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาถึงคดีดังกล่าวทั้งสองสำนวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องทุกสำนวน

Share