แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่นาพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทางราชการยังมิได้จัดให้เป็นที่ทำกินของราษฎร จึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินซึ่งสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304 การที่ พ. เข้ามาครอบครองทำนาในที่ดินพิพาทก็เพียงแต่ถือว่า พ. มีสิทธิในที่นาพิพาทดีกว่าบุคคลอื่น แต่พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติพ. จึงยกเอาการครอบครองของตนใช้ยันต่อรัฐไม่ได้ ดังนั้น แม้ พ. จะครอบครองหรือทำนาพิพาทนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิในนาพิพาทตามกฎหมาย ทั้งยังอาจถูกฟ้องร้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ อีกด้วย จึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้น แม้จำเลยจะเข้าไปไถนาและปลูกข้าวในที่นาพิพาทก็ไม่เป็นการรบกวนการครอบครองที่อสังหาริมทรัพย์ของ พ. อันจะเป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,365
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 362, 365 และนับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีก่อน
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 362, 365(2) จำคุกคนละ 1 ปีคำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายพรมหรือพรมมานามบุตร ผู้เสียหายฟ้องขับไล่นายสาย จันทร์พล ให้ออกจากที่นาพิพาทศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้นายสายและบริวารออกจากที่นาพิพาท คดีถึงที่สุดตั้งแต่ปี 2536นายสายและจำเลยทั้งสองได้ออกจากที่นาพิพาทตามคำพิพากษาแล้วตามวันเวลาเกิดเหตุในฟ้องจำเลยทั้งสองได้เข้าไปไถและปลูกข้าวในที่นาพิพาทอีก นายพรมหรือพรมมาจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสองในความผิดฐานบุกรุก เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองกล่าวหาเป็นคดีนี้มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองเข้าไปไถและปลูกข้าวในนาพิพาทเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของนายพรมหรือพรมมาโดยปกติสุขหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำเบิกความของนายรัศมี เตชะนัง ป่าไม้อำเภอห้วยทับทันพยานโจทก์ว่า ที่นาพิพาทเป็นที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งขวาห้วยทับทัน ปัจจุบันที่พิพาทไม่มีสภาพเป็นป่าแล้ว แต่ทางราชการยังมิได้จัดให้ที่นาพิพาทเป็นที่ทำกินของราษฎร เห็นว่า ที่นาพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทางราชการยังมิได้จัดให้เป็นที่ทำกินของราษฎร จึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินซึ่งสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 การที่นายพรมหรือพรมมาเข้าครอบครองทำนาในที่ดินพิพาทก็เพียงแต่ถือว่านายพรมหรือพรมมามีสิทธิในที่นาพิพาทดีกว่าบุคคลอื่น แต่พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ นายพรมหรือพรมมาจึงยกเอาการครอบครองของตนใช้ยันต่อรัฐไม่ได้ ดังนั้น แม้นายพรมหรือพรมมาจะครอบครองหรือทำนาพิพาทนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิในนาพิพาทตามกฎหมายทั้งยังอาจถูกฟ้องร้อง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 อีกด้วย นายพรมหรือพรมมาเข้าครอบครองที่นาพิพาทโดยไม่ชอบ จึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายฉะนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะเข้าไปไถนาและปลูกข้าวในที่นาพิพาทก็ไม่เป็นการรบกวนการครอบครองที่อสังหาริมทรัพย์ของนายพรมหรือพรมมา อันจะเป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362, 365 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน