แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาขายลดเช็คพิพาททั้งสองฉบับในนามตนเองมิได้กระทำแทนจำเลยร่วม ดังนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยร่วม ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยร่วมมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเป็นคุณแก่จำเลยร่วมได้
จำเลยได้ทำหนังสือถึงโจทก์ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่แต่ไม่สามารถชำระเงินได้หมดทันที ขอผ่อนชำระเป็นงวด ๆ และขอลดดอกเบี้ย ถือได้ว่าจำเลยยอมรับสภาพความรับผิดสำหรับดอกเบี้ยตาม ป.พ.พ. มาตรา 188 (เดิม) มาตรา 193/28 (ใหม่) และเป็นการสละประโยชน์แห่งอายุความสำหรับดอกเบี้ยตามมาตรา 192 (เดิม) มาตรา 193/24 (ใหม่) เมื่อนับจากวันที่ทำหนังสือดังกล่าวถึงวันฟ้องไม่เกิน 5 ปี คดีโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ย จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินตามสัญญาขายลดเช็คทั้งสองฉบับพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงินตามเช็คฉบับแรก 1,250,000 บาท นับแต่วันที่ 20 เมษายน 2528 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,300,068.49 บาท จากต้นเงินตามเช็คฉบับที่สอง 1,250,000 บาท นับแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2528 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,280,547.95 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,080,616.44 บาท ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 2,500,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดหุ้นของบริษัทน้ำตาลวังขนาย จำกัด ใบหุ้นเลขที่ 229, 230 และ 231 หมายเลขหุ้นที่ 2243751 ถึง 2253750 ที่ 2253751 ถึง 2263750 และที่ 2263751 ถึง 2273750 รวม 30,000 หุ้น ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาท 2 ฉบับ แล้วทำสัญญาขายลดเช็คให้แก่โจทก์จริง แต่จำเลยไม่ได้ รับเงินตามสัญญาเนื่องจากจำเลยเป็นตัวแทนของบริษัทน้ำตาลวังขนาย จำกัด ในการทำสัญญาขายลดเช็คให้แก่โจทก์ และบริษัทดังกล่าวได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องค้างชำระเกินกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ลงในเช็คจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทน้ำตาลวังขนาย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมไม่เคยแต่งตั้งหรือเชิดจำเลยเป็นตัวแทนในการทำสัญญาขายลดเช็คให้แก่โจทก์ จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยร่วม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมใช้เงินจำนวน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (8 ตุลาคม 2533) ย้อนไปเป็นเวลา 5 ปี และให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว จากต้นเงิน 2,500,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยร่วมไม่ชำระเงินหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดหุ้นของจำเลยในหุ้นบริษัทน้ำตาลวังขนาย จำกัด เลขที่ 229, 230 และ 231 รวม 30,000 หุ้น ที่นำมาจำนำไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ กับให้จำเลยร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้โจทก์และจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การที่จำเลยขายลดเช็คให้แก่โจทก์ เป็นการกระทำแทนจำเลยร่วมหรือไม่ ที่จำเลยร่วมทำสัญญาค้ำประกันจำเลยนั้น น่าจะเป็นว่า เพื่อช่วยเหลือจำเลยให้มีเงินชำระค่าหุ้น และเป็นเรื่องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน โดยจำเลยร่วมทำสัญญาค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินของจำเลย แล้วจำเลยยอมให้ จำเลยร่วมยืมใบหุ้นของจำเลยไปจำนำธนาคารทหารไทย จำกัด เพื่อค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยร่วม เชื่อได้ว่าจำเลยขายลดตั๋วเงินในนามของจำเลยเองมิได้กระทำการแทนจำเลยร่วม ดังนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดชอบชำระหนี้ แก่โจทก์ ส่วนจำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดชอบชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำฟ้อง ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อจำเลยร่วมไม่ต้อง รับผิดชอบชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยร่วม ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชน แม้จำเลยร่วมจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเป็นคุณแก่จำเลยร่วมได้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ดอกเบี้ยส่วนที่เกินกว่า 5 ปี ขาดอายุความตามที่จำเลยให้การหรือไม่ เห็นว่า แม้เช็คพิพาททั้งสองฉบับจะลงวันที่ 20 เมษายน 2528 และวันที่ 20 พฤษภาคม 2528 ตามลำดับ ซึ่งตามสัญญาขายลดเช็คกำหนดว่า หากธนาคารตามเช็คปฏิเสธจ่ายเงินแล้ว จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยของต้นเงินตามเช็คตามวันที่ลงในเช็คพิพาททั้งสองฉบับ และโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2533 ซึ่งเกิน 5 ปีนับแต่วันที่ลงในเช็คพิพาททั้งสองฉบับแล้วก็ตาม แต่ก็ได้ความว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2533 จำเลยได้ทำหนังสือถึงโจทก์ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ 4,700,000 บาท จำเลยไม่สามารถชำระเงินได้หมดทันที ขอผ่อนชำระ 12 งวด และขอลดดอกเบี้ย ดังนี้ถือได้ว่า จำเลยยอมรับสภาพความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 188 (เดิม) มาตรา 193/28 (ใหม่) และเป็นการสละประโยชน์แห่งอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 192 (เดิม) 193/24 (ใหม่) เมื่อนับจากวันที่ทำหนังสือตามเอกสารหมาย จ. 18 ถึงวันฟ้องไม่เกิน 5 ปี คดีโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยจึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 1,250,000 บาท นับแต่วันที่ 20 เมษายน 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จจำนวนหนึ่งและของต้นเงิน 1,250,000 บาท นับแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนฟ้องของเช็คทั้งสองฉบับรวมกันแล้ว ต้องไม่เกิน 2,580,616.44 บาท หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดหุ้นบริษัทน้ำตาลวังขนาย จำกัด ใบหุ้นเลขที่ 229, 230 และ 231 หมายเลขหุ้นที่ 2243751 ถึง 2253750 ที่ 2253751 ถึง 2263750 และที่ 2263751 ถึง 2273750 รวมทั้งสิ้น 30,000 หุ้น ซึ่งจำเลยจำนำไว้เป็นประกันหนี้โจทก์ออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.