คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 910/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีแพ่งที่ห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์สั่งรับอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมาย และศาลอุทธรณ์ก็มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไป คงเป็นแต่ถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปเท่านั้น นั้น ย่อมฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงนั้นมิได้ว่ากล่าวขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์เสียแล้วต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินซึ่งตนเช่าจากวัดราชสิทธารามและเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การต่อสู้ว่า เช่าที่วัดราชสิทธารามไม่ได้อาศัยโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ อ้างว่าอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ได้ แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นข้อกฎหมาย ให้รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาคัดค้านว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยได้สิทธิการเช่าที่ดินของวัดเพราะได้ทำสัญญาเช่ากับไวยาวัจกรของวัดราชสิทธิวรามซึ่งเป็ฯตัวแทนที่ไม่มีอำนาจและทำย้อนหลัง เป็นสัญญาที่เกิดขึ้นโดยไม่สุจริตเป็นโมฆะ ส่วนการเช่าที่ดินระหว่างโจทก์กับวัดยังสมบูรณ์มีผลบังคับอยู่ ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทะรณ์ให้ขับไล่จำเลย ให้รื้อเรือนที่ขายฝากออกไปจากที่พิพาท
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์สั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะแต่ในปัญหาข้อกฎหมายข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติในศาลชั้นต้นแล้ว ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงไปด้วย เพียงแต่ถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น การที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งข้อที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยได้รับสิทธิการเช่าที่ดินของวัดแล้ว และสัญญาเช่าของจำเลยสมบูรณ์ใช้ได้นั้น เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งมิได้ว่ากล่าวกันขึ้นมาในชั้นศาลอุทธรณ์ โจทก์จะยกขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นฎีกาอีกไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์.

Share