คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 908/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะจำเลยออกเช็คค้ำประกันหนี้เงินยืมจากบริษัท ส. จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง มิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คโดยคบคิดกับบริษัท ส. ฉ้อฉลจำเลย จึงมิใช่ข้อต่อสู้ที่จะยกขึ้นใช้ยันโจทก์ผู้ทรงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 916 เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ถือและโจทก์เป็นผู้ถือเช็ค ย่อมฟังได้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คมาโดยสุจริตและเป็นผู้ทรงโดยชอบ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินตามเช็คจำนวน 240,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่เช็คถึงกำหนดชำระจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ จำเลยทั้งสามให้การว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ เช็คพิพาทจำเลยออกให้แก่บริษัทสยามโภคภัณฑ์ธุรกิจ จำกัด เพื่อค้ำประกันหนี้เงินยืมที่จำเลยที่ 1 ยืมจากบริษัทดังกล่าว และเป็นเช็คที่คิดดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือนรวมอยู่ด้วย จำเลยที่ 1 มิได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2 ที่ 3 ลงลายมือชื่อในเช็คในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน240,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2528 (วันธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน) จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 จะต้องใช้เงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คพิพาทฉบับลงวันที่ 21 มีนาคม 2528 สั่งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาสาธร จ่ายเงินจำนวน 240,000 บาท ให้แก่ผู้ถือ และโจทก์เป็นผู้ถือเช็คดังกล่าวในกรณีเช่นนี้ย่อมฟังได้ว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาโดยสุจริตและเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเช็คพิพาทธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสาธร ปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ประกอบด้วยมาตรา 989ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ออกเช็คค้ำประกันหนี้เงินยืมจากบริษัทสยามโภคภัณฑ์ธุรกิจ จำกัด จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทตามฟ้องมาโดยคบคิดกับบริษัทสยามโภคภัณฑ์ธุรกิจ จำกัด ฉ้อฉลจำเลยที่ 1 จึงมิใช่เป็นข้อต่อสู้ที่จะยกขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลทั้งหลายผู้ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงินหาอาจจะต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้สั่งจ่าย หรือกับผู้ทรงคนก่อน ๆ นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล” ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมา ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share