คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายที่ดินระบุว่าผู้ขายจะต้องทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดให้กับผู้ซื้อและโอนใส่ชื่อผู้ซื้อ ณ สำนักงานที่ดิน ถือเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย
ลงชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินโดยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าส่วนหนึ่งของที่ดินนั้นเป็นของบุคคลอื่นและตนได้รับรองไว้ด้วยว่าจะจัดการรังวัดแบ่งแยกที่ดินส่วนนั้นให้เขา ถือเป็นการแสดงเจตนาลงชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนผู้มีกรรมสิทธิ์ตนเองไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง ๒ เป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่ง เดิมโจทก์ที่ ๑ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางจีบ ต่อมานางจีบขายส่วนของตนให้โจทก์ที่ ๒จำเลยเช่าที่ดินแปลงนี้บางส่วนจากโจทก์ที่ ๑ ปลูกสร้างโรงสี มีสัญญาเช่าเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนด จำเลยไม่ยอมทำสัญญาเช่าอีกกลับอ้างว่าจำเลยเป็นเจ้าของ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทนางจีบแบ่งขายให้และมอบที่ดินให้จำเลยครอบครองเป็นเขตแน่นอน จำเลยไม่ได้เช่า เมื่อตามโจทก์ขอให้นางจีบโอนกรรมสิทธิ์ส่วนของนางจีบให้ โจทก์ได้รับรองว่าจะจัดการแบ่งแยกให้จำเลย จึงฟ้องแย้งว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทและให้โจทก์จัดการรังวัดแบ่งให้จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่านางจีบไม่เคยแบ่งขายที่ดินให้จำเลยสัญญาซื้อขายระหว่างนางจีบกับจำเลยเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้จดทะเบียนโจทก์ไม่เคยรับรองข้อความตามฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินให้จำเลย หากโจทก์ไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนาของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ซื้อที่พิพาทจากนางจีบ การซื้อขายได้ทำสัญญาเป็นหนังสือระบุว่านางจีบจะต้องทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดให้กับจำเลยและโอนใส่ชื่อจำเลย ณ สำนักงานที่ดิน สัญญาดังกล่าวไม่เป็นโมฆะเพราะเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย เวลาจำเลยซื้อโจทก์ก็ทราบและเวลานางจีบโอนโฉนดใส่ชื่อโจทก์ โจทก์ก็ทราบว่าจำเลยซื้อที่พิพาทอยู่ก่อนแล้ว โดยโจทก์รับรองกับนางจีบว่าจะจัดการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยจึงเป็นการแสดงเจตนาลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแทนจำเลยเพื่อแบ่งแยกให้จำเลยต่อไปตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๓๐/๒๔๙๗
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share