คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทำสัญญาให้ผู้อื่นเช่าตึกของตนซึ่งได้อุทิศถวายเป็นของวัดแล้ว แต่ผู้เช่าไม่รู้เรื่องถวายวัด เมื่อทางวัดไม่ยินยอมให้เช่า ตนจึงต้องบอกเลิกการเช่าเสียก่อนที่ผู้เช่าได้เข้ามาใช้สถานที่ตามสัญญานั้น ผู้ให้เช่าต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เช่าที่ต้องเสียหายไปในการบูรณะดัดแปลงตึกนั้น
ผลกำไรอันจะได้จากการใช้ทรัพย์ที่เช่านั้น นับว่าเป็นค่าเสียหาย อันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ถ้าผู้เช่ามิได้คาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์พิเศษเช่นนั้นล่วงหน้าแล้ว ผู้ให้เช่าก็ไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

จำเลยสร้างตึกขึ้น 1 หลังในที่ธรณีสงฆ์วัดเทพศิรินทร์ แล้วอุทิศให้คณะสงฆ์วัดเทพศิรินทร์ ภายหลังได้ให้โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกหลังนี้ทำโรงแรมมีกำหนด 3 ปี ทางคณะสงฆ์ทราบความเข้าไม่ยินยอมจำเลยจึงบอกเลิกการเช่ากับโจทก์ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาเช่าเรียกค่าเสียหายและเงินประกันเป็นเงิน 9,586 บาท 71 สตางค์

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดสัญญา ให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าและค่าประกันที่รับไว้แล้วให้แก่โจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 4,186 บาท 71 สตางค์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ จำเลยต่างฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะได้อุทิศตึกหลังที่ให้โจทก์เช่าถวายวัดแล้วก็ดี แต่ก็ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้ล่วงรู้ความข้อนี้ฉะนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาว่า ถ้าหากโจทก์ได้เช่าต่อไปครบ 3 ปีตามสัญญาเช่า จะได้กำไร 5,400 บาทนั้น นับว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษซึ่งไม่ได้ความว่า คู่กรณีได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์นั้นล่วงหน้า จึงไม่ควรให้จำเลยต้องรับผิดจึงพิพากษายืน

Share