คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่า โจทก์ยื่นรายการเพื่อเสียภาษีอากรโดยแสดงเงินได้และหักค่าใช้จ่ายไว้ผิดประเภทเป็นเหตุให้จำนวนภาษีน้อยกว่าที่ควรต้องเสีย ถือได้ว่าเจ้าพนักงานประเมิน มีเหตุอันควรเชื่อว่า โจทก์แสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่บริบูรณ์เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนแล้วประเมินภาษีอากรให้ถูกต้องตามมาตรา 1 และ 20 แห่งประมวลรัษฎากรได้โดยไม่จำเป็นต้องประเมินแล้วแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปยังโจทก์ผู้ต้องเสียภาษีอากรตามมาตรา 18 วรรคแรกก่อนแต่อย่างใด เงินได้ที่โจทก์ได้รับจากการทำงานในสถานพยาบาลของโรงงานผลิตปุ๋ยเคมีแม่เมาะและในสถานพยาบาลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่แม่เมาะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2)แห่งประมวลรัษฎากร ส่วนเงินได้จากคลินิก ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของและดำเนินการรักษาผู้ป่วยโดยไม่มีเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนนั้นเป็นเงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ การประกอบโรคศิลปะ ตามมาตรา 40(6) แห่งประมวลรัษฎากร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นแพทย์ทำงานในสถานพยาบาลของโรงงานผลิตปุ๋ยเคมีแม่เมาะและในสถานพยาบาลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่แม่เมาะนอกจากนี้โจทก์ตั้งและดำเนินกิจการสถานพยาบาลเอกชนประเภทไม่มีเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนด้วย โจทก์มีเงินได้จากเงินเดือน ค่าตอบแทน และเงินได้จากการรักษาพยาบาลกับการจำหน่ายยาให้แก่ผู้ป่วยที่มาขอรับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของโจทก์ในปี พ.ศ. 2522-2525 โจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีต่อเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ตามกำหนดเวลาทุกปี ต่อมาโจทก์ได้รับหมายเรียกจากจำเลยที่ 2 ให้ไปพบเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ณสำนักงานสรรพากรจังหวัดลำปาง เพื่อตรวจสอบไต่สวนเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้ของโจทก์ในช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมกับให้นำบัญชีและเอกสารต่าง ๆ ไปทำการตรวจสอบ โจทก์ได้ไปให้ถ้อยคำและนำเอกสารไปให้ตรวจสอบ ต่อมาจำเลยที่ 2 แจ้งให้โจทก์ทราบว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำการประเมินภาษีอากรของโจทก์ตามมาตรา 20 และ 22 แห่งประมวลรัษฎากรและให้โจทก์นำเงินภาษี เงินเพิ่มและเบี้ยปรับรวมทั้งสิ้น 20,061.73 บาท ไปชำระให้แก่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองลำปาง โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินของจำเลยที่ 2 ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งมีจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5เป็นคณะกรรมการ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ยกอุทธรณ์ของโจทก์โจทก์เห็นว่า เมื่อโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีต่อเจ้าพนักงานภายในเวลาที่กำหนดแล้ว ถือว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ต่อไปจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 2 หรือเจ้าพนักงานประเมินที่จะต้องดำเนินการตามมาตรา 18 วรรคแรกแห่งประมวลรัษฎากร การที่จะอ้างว่าโจทก์ยังเสียภาษีอากรไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงหรือไม่บริบูรณ์แล้วใช้อำนาจตามมาตรา 1 ออกหมายเรียกตัวโจทก์ไปทำการไต่สวนแล้วทำการประเมินตามมาตรา 20 และ 22 จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ เพราะจำเลยยังมิได้ประเมินเงินภาษีอากรไปให้โจทก์ทราบเสียก่อน เป็นการใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้องและข้ามขั้นตอน และโจทก์เห็นว่า เงินได้จากการรักษาพยาบาลและการจำหน่ายยาของโจทก์นั้น ไม่ใช่เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(6) แห่งประมวลรัษฎากร ตามการประเมินของจำเลยที่ 2แต่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) ตามที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการไว้ การที่จำเลยไม่ได้ดำเนินการตามมาตรา 18 แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นกฎหมายที่มีความประสงค์เพื่อปกป้องคุ้มครองโจทก์ในอันที่จะไม่ต้องชำระภาษีอากรก่อนที่จะได้รับแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินจากเจ้าพนักงานประเมิน และไม่ต้องรับผิดในเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 จงใจไม่ปฏิบัติตามมาตรา 18 จึงก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ถือว่าจำเลยที่ 2กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมกันคืนเงินภาษีอากรที่เรียกเก็บไปพร้อมดอกเบี้ยตามมาตรา 4 ทศ ให้แก่โจทก์ขอให้พิพากษายกคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 2/2527 ลงวันที่ 23 มกราคม 2527 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ประเมินภาษีอากรระหว่างปี พ.ศ. 2522-2525 ของโจทก์เสียใหม่และแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินตามมาตรา 18 แห่งประมวลรัษฎากรให้โจทก์ทราบ คืนหรือส่งคืนเงินจำนวน 20,061.73 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเศษของเดือนนับแต่วันที่27 ตุลาคม 2526 ให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้การว่า การที่จำเลยที่ 2 ใช้อำนาจตามมาตรา 19 ออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวน เป็นการกระทำโดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีข้อห้ามแต่ประการใดว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 19 จะต้องมีการดำเนินการตามมาตรา 18 วรรคแรกเสียก่อน การที่จำเลยที่ 2 หมายเรียกโจทก์มาเพราะโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้ประจำปี พ.ศ. 2522-2525 โดยโจทก์ได้แสดงเงินได้และหักค่าใช้จ่ายไว้ผิดประเภท กล่าวคือโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้พึงประเมินที่ได้รับจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(6) และหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 60 ซึ่งความจริงแล้วเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) และหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้เพียงร้อยละ20 (ที่ถูกร้อยละ 30) เท่านั้น ดังนั้นโจทก์จึงเสียภาษีเงินได้น้อยกว่าความเป็นจริง ส่วนเงินได้จากการประกอบโรคศิลปะรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยและจำหน่ายยาแก่ผู้ป่วยโดยไม่มีเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนนั้น โจทก์ได้แสดงเงินได้และหักค่าใช้จ่ายไว้ผิดประเภทเช่นกัน กล่าวคือโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการว่าเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) และหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 75 แต่ความจริงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(6) และหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้เพียงร้อยละ 60 เท่านั้น เป็นเหตุให้โจทก์เสียภาษีเงินได้น้อยกว่าความเป็นจริง เจ้าพนักงานจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 1 ออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนและสั่งให้โจทก์เสียภาษีเงินเพิ่มและเบี้ยปรับให้ครบถ้วนตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อโจทก์ได้ยื่นรายการเพื่อเสียภาษีอากรแล้วจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินจะต้องประเมินภาษีอากรของโจทก์และแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปให้โจทก์ทราบตามมาตรา 18 วรรคแรก การที่จำเลยที่ 2 ไม่ประเมินภาษีอากรของโจทก์ตามมาตรา 18 วรรคแรก แต่กลับใช้อำนาจตามมาตรา 19 ออกหมายเรียกตัวโจทก์ไปทำการไต่สวนแล้วทำการประเมินภาษีตามมาตรา 20 โดยเพียงแต่เปลี่ยนแปลงประเภทเงินได้พึงประเมินเสียใหม่แล้วคำนวณภาษีใหม่ให้ผิดไปจากที่โจทก์ยื่นรายการไว้ เป็นการไม่ชอบ นั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยที่ 2 เห็นว่าโจทก์ยื่นรายการเพื่อเสียภาษีอากรโดยแสดงเงินได้และหักค่าใช้จ่ายไว้ผิดประเภท ทำให้จำนวนภาษีที่เสียไว้ผิดไปด้วย กล่าวคือเสียภาษีไว้น้อยกว่าที่ควรต้องเสีย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าโจทก์แสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่บริบูรณ์ จำเลยที่ 2 จึงมีอำนาจออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนแล้วประเมินภาษีอากรของโจทก์ให้ถูกต้องได้ตามมาตรา 19 และ 20แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่จำต้องประเมินแล้วแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปยังโจทก์ผู้ต้องเสียภาษีอากรตามมาตรา 18 วรรคแรกก่อนแต่อย่างใด เพราะเป็นคนละกรณีกัน
สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า เงินได้ของโจทก์เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทใดนั้น ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาฎีกาที่ 502/2526 ซึ่งโจทก์ในคดีนี้ฟ้องกรมสรรพากรกับพวกเป็นจำเลย โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเงินได้ที่โจทก์ได้รับจากการทำงานในสถานพยาบาลของโรงงานผลิตปุ๋ยเคมีแม่เมาะและในสถานพยาบาลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนั้นเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(2) ส่วนเงินได้จากคลินิก ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของและดำเนินการรักษาผู้ป่วยโดยไม่มีเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนนั้น เป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระการประกอบโรคศิลปะตามมาตรา 40(6) ดังนั้นเงินได้ที่โจทก์ได้รับจากการทำงานในสถานพยาบาลของโรงงานผลิตปุ๋ยเคมีแม่เมาะและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จึงไม่เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(6) และเงินได้จากการรักษาพยาบาลและการจำหน่ายยาในสถานพยาบาลที่ไม่มีเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนของโจทก์จึงไม่เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8)แห่งประมวลรัษฎากรดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ฎีกาโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share