แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทำสัญญาให้ผู้อื่นเช่าตึกของตน ซึ่งได้อุทิศถวายเป็นของวัดแล้วแต่ผู้เช่าไม่รู้เรื่องถวายวัด เมื่อทางวัดไม่ยินยอมให้เช่า ตนจึงต้องบอกเลิกการเช่าเสียก่อนที่ผู้เช่าได้เขามาใช้สถานที่ตามสัญญานั้น ผู้ให้เช่าต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เช่าที่ต้องเสียหายไปในการบูรณะดัดแปลงตึกนั้น
ผลกำไรอันจะได้จากการใช้ทรัพย์ที่เช่านั้น นับว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ถ้าผู้เช่ามิได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์พิเศษเช่นนั้นล่วงหน้าแล้ว ผู้ให้เช่าก็ไม่ต้องรับผิด
ย่อยาว
จำเลยสร้างตึกขึ้น ๑ หลัง ในที่ธรณีสงฆ์วัดเทพศิรินทร์ แล้วอุทิศให้คณะสงฆ์วัดเทพศิรินทร์ ภายหลังได้ให้โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกหลังนี้ทำโรงแรมมีกำหนด ๓ ปี ทางคณะสงฆ์ทราบความเข้าไม่ยินยอม จำเลยจึงบอกเลิกการเช่ากันโจทก์ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาเช่า เรียกค่าเสียหายและเงินประกันเป็นเงิน ๔๕๘๖ บาท ๗๑ สตางค์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดสัญญา ให้จำเลยคืนเงินค่าเช่า และค่าประกันที่รับไว้แล้วให้แก่โจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๔๑๘๖ บาท ๗๑ สตางค์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์จำเลยต่างฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะได้อุทิศตึกหลังที่ให้โจทก์เช่าถวายวัดแล้วก็ดี แต่ก็ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้ล่วงรู้ความข้อนี้ ฉะนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาว่าถ้าหากโจทก์ใดเช่าต่อไปครบ ๓ ปีตามสัญญาเช่า จะได้กำไร ๕๔๐๐ บาทนั้น นับว่าเป็นค่าเสียหายรับเกิดเหตุพฤติการณ์พิเศษซึ่งไม่ได้ความว่า คู่กรณีได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์นั้นล่วงหน้า จึงไม่ควรให้จำเลยต้องรับผิด จึงพิพากษายืน