คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9034/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2550 โดยนำเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัท อ. มารวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นและใช้สิทธิเครดิตภาษีเงินปันผล เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าเงินปันผลดังกล่าวเป็นเงินปันผลที่ได้รับจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงไม่สามารถนำมาเครดิตภาษีได้ ทำให้โจทก์ชำระภาษีไว้ขาด จึงประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มเติม โจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินไว้แล้ว แต่ในระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์ได้ขอถอนอุทธรณ์และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีมติให้จำหน่ายอุทธรณ์ของโจทก์ การประเมินจึงเป็นยุติ โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามการประเมิน และไม่อาจโต้แย้งว่าการประเมินไม่ถูกต้องได้อีกต่อไป แม้ต่อมาโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการฉบับเพิ่มเติมโดยไม่นำเงินปันผลดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น ก็ไม่อาจลบล้างอำนาจประเมินของเจ้าพนักงานประเมินให้ต้องยกเลิกหรือแก้ไขการประเมินใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 11 เลขที่ ภ.ง.ด. 11-03026230-25510822-001-00028 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2551 หนังสือแจ้งไม่คืนเงินภาษีอากร ที่ กค 0707.05/13646 ลงวันที่ 7 กันยายน 2554 และหนังสือที่ กค 0707 (อธ. 1) 173 ลงวันที่ 9 มกราคม 2555 ให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีและเงินเพิ่ม 1,571,729.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่ถัดจากวันที่จำเลยรับไว้คือวันที่ 30 มกราคม 2552 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนด ค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) ประจำปีภาษี 2550 แสดงรายการว่าโจทก์มีเงินได้ตามมาตรา 40 (1) ประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง 471,605.89 บาท ภาษีหัก ณ ที่จ่าย16,561.27 บาท เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 11,989.62 บาท เงินค่าชดเชยที่ได้รับตามกฎหมายแรงงาน 1,565.32 บาท เงินสมทบกองทุนประกันสังคม 9,000 บาท และมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ข) เงินปันผลจากบริษัทเอเชีย ซีทรานส์ จำกัดงวดแรก 3,087,700 บาท ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 308,770 บาท และงวดที่ 2 จำนวน 3,200,000 บาท ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 320,000 บาท รวม 6,287,700 บาท โดยโจทก์นำเงินปันผลที่ได้รับทั้งสองครั้งไปรวมคำนวณภาษีโดยเครดิตภาษีเงินปันผล 2,694,728.57 บาท แล้วขอคืนภาษีไว้ 323,712.42 บาท ต่อมาสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26 ของจำเลยมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2551 ให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มเติม 1,375,077.96 บาท เงินเพิ่ม 103,130.85 บาท รวม 1,478,208 บาท โดยอ้างว่า เงินปันผลที่โจทก์ได้รับจากบริษัทเอเชีย ซีทรานส์ จำกัด เป็นเงินปันผลที่บริษัทดังกล่าวได้รับจากบริษัทคุณนที จำกัด ซึ่งเป็นกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจึงเป็นเงินปันผลที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ นิติบุคคล ไม่สามารถนำมาเครดิตภาษีได้ ทั้งนี้เป็นไปตามคำสั่งของกรมสรรพากร ที่ ป. 119/2545 (ข้อ 10) โจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2551 โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนคำอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีมติให้จำหน่ายอุทธรณ์ของโจทก์ วันที่ 29 มกราคม 2552 โจทก์ชำระเงินค่าภาษีและเงินเพิ่มตามการประเมินให้แก่จำเลย 1,581,339.06 บาท ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 91) ประจำปีภาษี 2550 ฉบับเพิ่มเติม โดยไม่นำเงินปันผลมารวมคำนวณภาษี ซึ่งมีภาษีต้องชำระ 9,609.93 บาท แต่โจทก์นำภาษีที่ชำระตามการประเมินภาษี 1,375,077.96 บาท มาเครดิต เป็นผลให้มีภาษีชำระเกินและขอคืนได้ 1,365,468.03 บาท วันที่ 7 กันยายน 2554 สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26 มีหนังสือแจ้งไม่คืนภาษีอากรแก่โจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์ใช้สิทธิเลือกนำเงินปันผลไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว การยื่นแบบแสดงรายการเพิ่มเติมโดยไม่นำเงินปันผลไปรวมคำนวณภาษีจึงไม่อาจกระทำได้ และโจทก์ไม่มีสิทธินำเงินภาษีที่โจทก์ได้ชำระตามการประเมินมาเครดิตภาษี โจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่คืนเงินภาษีอากรดังกล่าว ต่อมาจำเลยแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งโดยไม่คืนภาษีอากรด้วยเหตุผลเช่นเดิม
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า โจทก์มีสิทธิยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฉบับเพิ่มเติม โดยเลือกไม่นำเงินปันผลไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นทั้งมีสิทธินำภาษีที่ชำระตามการประเมินของเจ้าพนักงานมาเครดิตในแบบแสดงรายการฉบับเพิ่มเติมนั้นได้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า เมื่อผู้ถูกประเมินไม่เห็นชอบด้วยกับการประเมินจะต้องอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน และเมื่อผู้ถูกประเมินยังไม่เห็นชอบด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ก็ให้อุทธรณ์ต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีนี้โจทก์เป็นผู้มีเงินได้ประเภทเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทเอเชีย ซีทรานส์ จำกัด งวดแรกจำนวน 3,087,700 บาท งวดที่ 2 จำนวน 3,200,000 บาท รวม 6,287,700 บาท ซึ่งโจทก์เห็นว่าโจทก์มีสิทธิที่จะเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10 ของเงินปันผลดังกล่าวโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นก็ได้ตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร แต่โจทก์เลือกใช้สิทธิยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยนำเงินปันผลไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น แล้วขอคืนภาษีไว้ 323,712.42 บาท ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2551 เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มเติมและเงินเพิ่มรวม 1,478,208 บาท โดยอ้างว่าเงินปันผลที่โจทก์ได้รับเป็นเงินปันผลที่ได้รับจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจึงไม่สามารถนำมาเครดิตภาษีได้ เมื่อปรับปรุงแล้วมีภาษีที่ต้องชำระเพิ่ม 1,375,077.96 บาท กรณีของโจทก์จึงเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีโจทก์ หากโจทก์ไม่เห็นด้วยก็ต้องอุทธรณ์การประเมินไปตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร ทำนองเดียวกับกรณีผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาดก็เช่นกัน หากจะยื่นแบบแสดงรายการใหม่ให้ถูกต้องเองโดยการชำระภาษีเพิ่มเติมหรือขอภาษีคืนแล้วแต่กรณี ก็ชอบที่จะกระทำเสียก่อนมีการประเมินภาษี มิฉะนั้นก็จะต้องอุทธรณ์การประเมินจึงจะเปลี่ยนแปลงผลการประเมินภาษีนั้นได้ ลำพังแต่การยื่นแบบแสดงรายการฉบับเพิ่มเติม หาอาจลบล้างอำนาจประเมินของเจ้าพนักงานประเมินให้ต้องยกเลิกหรือแก้ไขการประเมินใหม่ ซึ่งคดีนี้โจทก์ก็ได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 ไปแล้ว แต่ปรากฏว่าในการระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์ได้ขอถอนอุทธรณ์และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีมติให้จำหน่ายอุทธรณ์ของโจทก์ การประเมินจึงเป็นยุติ โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามการประเมินโดยโจทก์ไม่อาจโต้แย้งว่าการประเมินไม่ถูกต้องได้อีกต่อไป แม้โจทก์จะอ้างว่า โจทก์ขอถอนอุทธรณ์เพราะมีเจตนาที่จะยื่นแบบแสดงรายการฉบับเพิ่มเติมก็ตาม แต่ก็ไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้โจทก์กระทำเช่นนั้นได้ ที่โจทก์อ้างอีกว่า โจทก์ได้รับคำแนะนำจากนางเพ็ญพยอม และนางอรุณี เจ้าพนักงานของจำเลยให้โจทก์ขอถอนอุทธรณ์และยื่นแบบแสดงรายการเพิ่มเติมโดยไม่นำเงินได้เงินปันผลไปรวมกับเงินได้อื่นนั้น ข้ออ้างดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์ให้จำต้องถือตามแต่อย่างใด เมื่อโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระภาษีตามการประเมินที่เป็นยุติแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำภาษีที่ชำระตามการประเมินมาเครดิตในแบบแสดงรายการฉบับเพิ่มเติมนั้นได้ ฉะนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฉบับเพิ่มเติมโดยเลือกไม่นำเงินปันผลไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น ทั้งโจทก์ไม่มีสิทธินำภาษีที่ชำระตามการประเมินของเจ้าพนักงานมาเครดิตในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฉบับเพิ่มเติมได้นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว อุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share