แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ ช. เช่าซื้อที่พิพาท และชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนก่อนบวชเป็นพระภิกษุแต่ผู้ให้เช่าซื้อโอนที่พิพาทให้ขณะ ช.บวชเป็นพระภิกษุนั้น ต้องถือว่า ช. ได้ที่พิพาทมาแล้วก่อนที่จะบวช เพราะการจดทะเบียนการได้มาภายหลังเป็นเพียงทำให้การได้มาสมบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคแรกเท่านั้น แม้ ช. จะถึงแก่กรรมในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศที่พิพาทก็ไม่ตกเป็นสมบัติของวัด ตามมาตรา 1623
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกและเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชาย ปรมาภูติ มีบุตรด้วยกัน 3 คน เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2525 นายชาย ตายในขณะที่บวชเป็นพระภิกษุและจำพรรษาอยู่ที่วัดภูเขาทอง ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุยจังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายชาย ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2526 เมื่อประมาณต้นปีพ.ศ. 2527 โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายชาย ได้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 41375,41376, 41407 และ 41408 อำเภอหนองแขม (ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานครให้แก่ทายาทโดยธรรมของนายชาย แต่จำเลยปฏิเสธอ้างว่าทรัพย์ดังกล่าวตกได้แก่วัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุชายเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์และทายาทอื่น ทำให้ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดดังกล่าวมาเป็นชื่อโจทก์ นายศุภกิจ ปรมาภูติ และเด็กชายปราปต์ ปรมาภูติ เป็นเจ้าของร่วมกัน
จำเลยให้การว่า ที่ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าว นายชาย ปรมาภูติสามีโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทเมืองทองการก่อสร้าง จำกัดต่อมาจึงได้ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 4 แปลง เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2524 ในขณะที่บวชเป็นพระภิกษุอยู่ ที่ดินทั้ง 4 แปลง จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพระภิกษุชายตามกฎหมาย เป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศเมื่อพระภิกษุชายได้มรณภาพในวันที่ 13 พฤษภาคม 2525ในระหว่างเป็นพระภิกษุโดยมิได้จำหน่ายที่ดินทั้ง 4 แปลง ในระหว่างมีชีวิตอยู่หรือโดยพินัยกรรมที่ดินทั้ง 4 แปลงจึงต้องตกเป็นสมบัติของวัดภูเขาทอง ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุชาย ปรมาภูติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 จำเลยจึงไม่อาจจดทะเบียนให้โจทก์และบุคคลอื่นได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายชายหรือพระภิกษุชาย ครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของพระภิกษุชายโดยเป็นทรัพย์สินที่ได้มาก่อนที่จะบวชเป็นพระภิกษุ เป็นมรดกตกได้แก่ทายาทของพระภิกษุชายพิพากษาให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 41375, 41376, 41407 และ 41408 ตำบลหนองแขมอำเภอหนองแขม (ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานคร โดยใส่ชื่อโจทก์นายศุภกิจ ปรมาภูติ และเด็กชายปราปต์ ปรมาภูติ ร่วมกันเป็นเจ้าของที่ดินทั้ง 4 โฉนดดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทจดทะเบียนโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในระหว่างที่พระภิกษุชายอยู่ในสมณเพศ จึงถือเป็นทรัพย์สินที่พระภิกษุชายได้มาในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศ แต่เนื่องจากการบวชเป็นพระภิกษุไม่ทำให้ขาดจากการสมรส ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสซึ่งโจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง และส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระภิกษุชายอีกครึ่งหนึ่งตกเป็นสมบัติของวัดพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งในที่ดินโฉนดเลขที่ 41375, 41376, 41407และ 41408 ตำบลหนองแขม อำเภอหนองแขม (ภาษีเจริญ)กรุงเทพมหานคร
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นที่ยุติว่า โจทก์กับนายชาย ปรมาภูติ จดทะเบียนสมรสเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 3 คน คนแรกชื่อนายศุภกิจ ปรมาภูติ คนที่สองชื่อนายวิชชุ ปรมาภูติ เสียชีวิตไปแล้ว คนที่สามชื่อเด็กชายปราปต์ ปรมาภูติ ในระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์กับนายชายปรมาภูติ ร่วมกันเช่าซื้อที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง จากบริษัทเมืองทองการก่อสร้าง จำกัด นายชายผ่อนราคาค่าเช่าซื้อที่ดินพิพาทจนครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2522 แต่ยังไม่ได้ไปรับโอนที่ดินพิพาท ต่อมาบิดานายชายถึงแก่กรรม นายชายได้ไปบวชให้บิดาที่วัดภูเขาทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2524 ในระหว่างที่เป็นพระภิกษุอยู่นั้นบริษัทเมืองทองการก่อสร้าง จำกัด มีหนังสือแจ้งให้พระภิกษุชายไปรับโอนที่ดินพิพาท พระภิกษุชายได้มอบอำนาจให้โจทก์ไปจัดการรับโอนที่ดินพิพาท และได้จดทะเบียนโอนใส่ชื่อนายชายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2524 ครั้นวันที่ 13 พฤษภาคม 2525 พระภิกษุชายก็ถูกทำร้ายถึงแก่มรณภาพ คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่า ที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนของนายชายหรือพระภิกษุชายปรมาภูติ เป็นทรัพย์สินที่พระภิกษุชายได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้พระภิกษุชายจะได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทที่เช่าซื้อมาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศก็ตาม แต่พระภิกษุชายก็ได้เช่าซื้อที่ดินพิพาทและชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วนแล้วก่อนที่จะมาบวชเป็นพระภิกษุซึ่งหากผู้ให้เช่าซื้อไม่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้ พระภิกษุชายก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ให้เช่าซื้อโอนที่ดินพิพาทได้อันเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่พระภิกษุชายมีก่อนที่จะมาบวชเป็นพระภิกษุจึงต้องถือว่าพระภิกษุชายได้ที่ดินพิพาทมาแล้วก่อนที่จะบวชเป็นพระภิกษุ การจดทะเบียนการได้มาในภายหลังเป็นแต่เพียงทำให้การได้มาบริบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299วรรคแรก เท่านั้น ฉะนั้น เมื่อที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์สินที่พระภิกษุชายได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นส่วนของพระภิกษุชายจึงไม่ตกเป็นสมบัติของวัด ตามมาตรา 1623 หากแต่เป็นทรัพย์มรดกตกได้แก่บรรดาทายาทของพระภิกษุชายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่ดินพิพาทส่วนของพระภิกษุชายตกเป็นสมบัติของวัดนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น