แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ขณะที่โจทก์นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องส่งให้แก่จำเลยณ ภูมิลำเนาตามหลักฐานทางทะเบียน โจทก์ทราบดีว่าจำเลยพักอยู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งแม้จะมิใช่ภูมิลำเนาทางทะเบียน แต่ถือได้ว่าเป็นสำนักทำการงานของจำเลยได้ การที่โจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าไม่ทราบว่าจำเลยอยู่ ณ ที่ใดในราชอาณาจักร ขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศทางหนังสือพิมพ์จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ อ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งยกคำร้องจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์ได้แจ้งการฟ้องคดีนี้ให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วหรือไม่ และคำร้องของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา208 วรรคสองหรือไม่
สำหรับปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อแรก จำเลยเบิกความว่าไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง เพิ่งมาทราบเองภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้ทำการพิจารณาและพิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้ว เพราะตอนโจทก์ฟ้องและนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาตามหลักฐานทางทะเบียนนั้น จำเลยไม่ได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าวนั้น หากแต่จำเลยไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 1814/46 แขวงบางบำหรุ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 เจือสมกับบันทึกการส่งหมายของเจ้าพนักงานศาลที่ว่า ไม่พบจำเลย สอบถามคนในบ้านได้ความว่าจำเลยย้ายไปอยู่กรุงเทพนานแล้ว และยังได้ความจากคำเบิกความของจำเลยอีกว่า ก่อนถูกโจทก์ฟ้อง จำเลยเคยบอกที่อยู่ดังกล่าวของจำเลยให้โจทก์ทราบและโจทก์ยังเคยโทรศัพท์มาติดต่อจำเลยที่บ้านหลังนี้ด้วย โจทก์ไม่ได้นำสืบหักล้างข้อนำสืบดังกล่าวของจำเลยเมื่อพิจารณาประกอบกับคดีตามฟ้องเป็นเรื่องพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินไม่ใช่ขับไล่โดยตรง จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จำเลยจะต้องปกปิดภูมิลำเนามิให้โจทก์ทราบดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเพราะการปกปิดภูมิลำเนามิให้โจทก์ทราบในกรณีเช่นนี้มีแต่จะทำให้จำเลยเสียประโยชน์ในเชิงคดีพยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักฟังได้ว่าช่วงเวลาที่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยนั้น โจทก์ทราบดีว่าจำเลยอยู่บ้านหลังดังกล่าวที่กรุงเทพมหานคร ดังที่จำเลยเบิกความ แม้บ้านหลังนี้จะมิใช่ภูมิลำเนาทางทะเบียน แต่ก็ถือว่าเป็นสำนักทำการงานของจำเลยได้ การที่โจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าไม่ทราบว่าจำเลยอยู่ ณ ที่ใดในราชอาณาจักร ขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบ โดยวิธีประกาศทางหนังสือพิมพ์จึงไม่ชอบ กรณียังฟังไม่ได้ว่า จำเลยจงใจขาดนัด
ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์อีกข้อหนึ่งที่ว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้ง ซึ่งเหตุที่ขาดนัด ข้อคัดค้านคำตัดสินของศาลและในกรณียื่นคำขอล่าช้า เหตุแห่งการล่าช้านั้นด้วยแต่ตามทางไต่สวนจำเลยนำสืบไม่ได้ความชัดถึงกรณีดังกล่าวจึงเป็นคำขอที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา208 วรรคสอง นั้น เห็นว่า เหตุที่ขาดนัดได้ความชัดว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดดังได้วินิจฉัยไว้แล้วในปัญหาข้อแรก สำหรับข้อคัดค้านคำตัดสินของศาลเพียงแต่กล่าวอ้างไว้ในคำขอก็ชอบแล้ว ไม่จำเป็นต้องนำสืบในชั้นไต่สวน และกรณีดังกล่าวนี้ จำเลยยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงไม่มีเหตุที่ยื่นคำขอล่าช้า จากเหตุผลดังได้วินิจฉัยมาข้างต้น คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน