คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9029/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การขอให้ปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวโดยมีประกันและหลักประกันนั้นต้องประกอบด้วยผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวประการหนึ่งกับผู้ร้องขอประกันได้จัดหาหลักประกันมาอีกประการหนึ่งตามบทบัญญัติ ป.วิ.อ. มาตรา 106, 112, และมาตรา 114
จำเลยเป็นผู้ยื่นคำร้องขอประกันและเป็นผู้ทำสัญญาประกันตัว ป. ผู้ต้องหาในคดีความผิดต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ จากโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจัดหาหลักประกันมาตามมาตรา 114 เมื่อไม่มีกฎหมายใดบังคับว่าหลักประกันนั้นจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ประกันแต่ผู้เดียว การที่จำเลยจัดหาหลักประกันเป็นที่ดินมีโฉนดซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วน ส. และห้างหุ้นส่วนดังกล่าวยินยอมให้นำโฉนดที่ดินมาวางต่อโจทก์ในการขอปล่อย ป. ผู้ต้องหาชั่วคราว โดยทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยเป็นผู้รับโฉนดที่ดินไปดำเนินการแทนนั้น หาได้แปลว่า จำเลยยื่นคำร้องขอประกันและทำสัญญาประกันตัว ป. ผู้ต้องหาคดีดังกล่าวในฐานะที่จำเลยเป็นเพียงตัวแทนของห้างหุ้นส่วน ส. แต่อย่างใดไม่ แต่แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเข้าทำสัญญาประกันตัว ป.ผู้ต้องหาในนามของจำเลยเองด้วย หากจำเลยเป็นแต่เพียงผู้รับมอบอำนาจจากห้างหุ้นส่วน ส. ให้มาประกันตัวผู้ต้องหาจริงแล้ว จำเลยก็ควรระบุไว้ในคำร้องขอประกันและสัญญาประกันด้วยว่า ทำแทนหรือเป็นตัวแทนของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว ดังนั้น สัญญาประกันจึงมีผลผูกพันจำเลยในฐานะคู่สัญญา
การที่จำเลยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ตามกำหนดนัดในวันที่ 27 ธันวาคม 2539 ย่อมทำให้จำเลยตกเป็นผู้ผิดสัญญาประกัน โจทก์ชอบที่จะบังคับตามสัญญาประกันได้โดยมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาประกันซึ่งมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ แต่การชำระหนี้ดังกล่าวมิได้กำหนดเวลาอันจะพึงชำระหนี้แก่กันไว้ โจทก์ชอบที่จะบอกกล่าวกำหนดเวลาให้ชำระหนี้ก่อน เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้นั้น ย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดนับแต่เมื่อนั้น กรณีมิใช่เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระในวันเดียวกับวันที่จำเลยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ตามกำหนดนัด อันจะทำให้จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ส่งตัว ป. ผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนเพียงแต่มีบันทึกลงไว้ในรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานว่าจะได้ดำเนินการเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายต่อไปเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าหลังจากจำเลยผิดนัดไม่ส่งตัวผู้ต้องหาแล้ว โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยให้ชำระเงินตามสัญญาประกัน จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่ วันที่ 27 ธันวาคม 2539 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้อันเป็นการเรียกให้ชำระหนี้เงินแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,473,060.07 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,207,765.32 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การดำเนินการขอประกันตัวผู้ต้องหาของจำเลยเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลสยามเฮ้าส์ซิ่งแฮปปี้ มิได้กระทำในฐานะส่วนตัวที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่โจทก์และจำเลยไม่ฎีกาและแก้ฎีกาโต้แย้งกันว่า เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2539 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม นายปฐมพงษ์ ผู้ต้องหาในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 แล้วควบคุมตัวส่งมอบให้โจทก์เพื่อดำเนินการสอบสวนรวม 5 คดี ต่อมาวันที่ 28 พฤศจิกายน 2539 มีการยื่นคำร้องขอประกันผู้ต้องหาชั่วคราวและทำสัญญาประกันตัวนายปฐมพงษ์ผู้ต้องหารวม 5 คดี โดยจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้ยื่นคำร้องขอประกัน และลงลายมือชื่อเป็นผู้ประกันในสัญญาประกันปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.6 ในสัญญาประกันทั้ง 5 ฉบับดังกล่าว จำเลยระบุที่ดินโฉนดเลขที่ 158115 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลสยามเฮ้าส์ซิ่งแฮปปี้ เป็นหลักประกัน ต่อมาจำเลยไม่สามารถส่งตัวนายปฐมพงษ์ผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ได้ตามสัญญา โจทก์จึงเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าปรับ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาประกันเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.6 ต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 106 คำร้องขอให้ปล่อยผู้ต้องหาหรือจำเลยชั่วคราวโดยไม่ต้องมีประกันหรือมีประกันหรือมีประกันและหลักประกัน ย่อมยื่นได้โดยผู้ต้องหาเอง หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง และมาตรา 112 เมื่อจะปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันและหลักประกันก่อนปล่อยไปให้ผู้ประกันหรือผู้เป็นหลักประกันลงลายมือชื่อในสัญญาประกันนั้น
ในสัญญาประกันนอกจากข้อความอย่างอื่นอันจะพึงมี ต้องมีข้อความดังนี้ด้วย
(1) ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวหรือผู้ประกัน แล้วแต่กรณี จะปฏิบัติตามนัดหรือหมายเรียกของเจ้าพนักงานซึ่งให้ปล่อยชั่วคราว
(2) เมื่อผิดสัญญาจะใช้เงินจำนวนที่ระบุไว้
ส่วนมาตรา 114 เมื่อจะปล่อยชั่วคราวโดยให้มีประกันและหลักประกันด้วยก่อนปล่อยตัวไป ให้ผู้ร้องขอประกันจัดหาหลักประกันมาดังต้องการ
หลักประกันมี 3 ชนิด คือ
(1) มีเงินสดมาวาง
(2) มีหลักทรัพย์อื่นมาวาง
(3) มีบุคคลมาเป็นหลักประกัน โดยแสดงหลักทรัพย์
บทบัญญัติดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่า การขอให้ปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวโดยมีประกันและหลักประกันนั้นต้องประกอบด้วย ผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวประการหนึ่งกับผู้ร้องขอประกันได้จัดหาหลักประกันมาอีกประการหนึ่ง ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏชัดตามคำร้องขอประกันและสัญญาประกันเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.6 รวม 5 ฉบับว่า จำเลยเป็นผู้ยื่นคำร้องขอประกันและเป็นผู้ทำสัญญาประกันตัว นายปฐมพงษ์ ผู้ต้องหาในคดีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 จากโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจัดหาหลักประกันมาตามมาตรา 114 เมื่อไม่มีกฎหมายใดบังคับว่าหลักประกันนั้นจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ประกันแต่ผู้เดียว การที่จำเลยจัดหาหลักประกันเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 158115 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลสยามเฮ้าส์ซิ่งแฮปปี้ และห้างหุ้นส่วนดังกล่าวยินยอมให้นำโฉนดที่ดินมาวางต่อโจทก์ในการขอให้ปล่อยนายปฐมพงษ์ผู้ต้องหาชั่วคราว โดยทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยเป็นผู้รับโฉนดที่ดินไปดำเนินการแทนนั้น หาได้แปลว่าจำเลยยื่นคำร้องขอประกันและทำสัญญาประกันตัวนายปฐมพงษ์ผู้ต้องหาคดีดังกล่าวในฐานะที่จำเลยเป็นเพียงตัวแทนของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลสยามเฮ้าส์ซิ่งแฮปปี้แต่อย่างใดไม่ แต่แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาเข้าทำสัญญาประกันตัวนายปฐมพงษ์ผู้ต้องหาในนามของจำเลยเองด้วย หากจำเลยเป็นแต่เพียงผู้รับมอบอำนาจจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลสยามเฮ้าส์ซิ่งแฮปปี้ให้มาประกันตัวผู้ต้องหาจริงแล้วจำเลยก็น่าจะระบุไว้ในคำร้องขอประกันและสัญญาประกันเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.6 ด้วยว่า ทำแทนหรือประกันเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.6 จึงมีผลผูกพันจำเลยในฐานะคู่สัญญา ปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัยเพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียให้เสร็จสิ้น โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหารวม 5 คดี คดีเลขที่ 551/2539 ยอมใช้เงินจำนวน 840,000 บาท และคดีเลขที่ 876/2539 ยอมใช้เงินจำนวน 54,420 บาท คดีเลขที่ 1522/2539 ยอมใช้เงินจำนวน 259,002 บาท คดีเลขที่ 1668/2539 ยอมใช้เงินจำนวน 33,890.66 บาท และคดีเลขที่ 1680/2539 ยอมใช้เงินจำนวน 20,452.66 บาท รวมจำนวน 1,207,765.32 บาท โจทก์กำหนดนัดให้จำเลยส่งตัวนายปฐมพงษ์ผู้ต้องหาต่อโจทก์ดังนี้ คดีเลขที่ 551/2539 ส่งตัววันที่ 16 ธันวาคม 2539 คดีเลขที่ 876/2539 และ 1522/2539 ส่งตัววันที่ 25 ธันวาคม 2539 คดีเลขที่ 1668/2539 และ 1680/2539 ส่งตัววันที่ 27 ธันวาคม 2539 ครั้นถึงกำหนดนัดดังกล่าวจำเลยไม่สามารถนำตัวนายปฐมพงษ์ผู้ต้องหามาส่งให้โจทก์ได้จึงถือว่าจำเลยผิดสัญญาและต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประกันแต่ละฉบับ รวมจำนวน 1,207,765.32 บาท แต่ที่โจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2539 โดยถือว่าเป็นวันที่จำเลยผิดนัดไม่ส่งตัวนายปฐมพงษ์ผู้ต้องหาต่อโจทก์นั้น เห็นว่า การที่จำเลยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ตามกำหนดนัดย่อมทำให้จำเลยตกเป็นผู้ผิดสัญญาประกัน โจทก์ชอบที่จะบังคับตามสัญญาประกันได้โดยมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาประกันซึ่งมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ แต่การชำระหนี้ดังกล่าวมิได้กำหนดเวลาอันจะพึงชำระหนี้แก่กันไว้ โจทก์ชอบที่จะบอกกล่าวกำหนดเวลาให้ชำระหนี้ก่อนเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้นั้นย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดนับแต่เมื่อนั้น กรณีมิใช่เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระในวันเดียวกับวันที่จำเลยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ตามกำหนดนัดอันจะทำให้จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด ตามทางนำสืบของโจทก์ปรากฏว่าเมื่อจำเลยผิดนัดไม่ส่งตัวนายปฐมพงษ์ผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนเพียงแต่มีบันทึกลงไว้ในรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานเอกสารหมาย จ.13 ว่าจะได้ดำเนินการเสนอผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายต่อไปเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าหลังจากจำเลยผิดนัดไม่ส่งตัวผู้ต้องหาแล้ว โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยให้ชำระเงินตามสัญญาประกัน กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2539 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้อันเป็นการเรียกให้ชำระหนี้เงินแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อวินิจฉัยดังนี้กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้ออื่นอีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,207,765.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

Share