แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ได้ชำระไปแล้วคืนเพราะจำเลยผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทำที่สำนักงานของจำเลยในกรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครจึงเป็นสถานที่มูลคดีเกิด ส่วนจังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ดินที่โจทก์ตกลงจะซื้อจะขายกันถือไม่ได้ว่าเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดด้วย เมื่อมูลคดีมิได้เกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ดินดังกล่าวโจทก์ก็ย่อมไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้น
การที่โจทก์เสนอคำฟ้องโดยอ้างว่ามูลคดีเกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ย่อมเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นเข้าใจว่าโจทก์มีอำนาจเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาในเบื้องต้น เมื่อจำเลยยื่นคำให้การและยกเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นต่อสู้ไว้ด้วย คดีจึงมีประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยโดยรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนที่โจทก์จำเลยนำสืบ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามูลคดีเกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ แม้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งไม่รับหรือคืนคำคู่ความในชั้นตรวจคำฟ้อง หรือสั่งแก้ไขคำสั่งรับฟ้องเป็นไม่รับฟ้องเพื่อให้โจทก์นำคำฟ้องไปยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจก็ตาม การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงหาเป็นการไม่ชอบไม่
ศาลชั้นต้นได้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้วก็ย่อมไม่มีอำนาจสั่งคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ เนื่องจาก ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ศาลคืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดเฉพาะกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโดยยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดีเท่านั้น ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2537 โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 120 ตารางวา ในโครงการจัดสรรของจำเลย ในราคา 7,434,000 บาท โจทก์ได้ชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยแล้วรวมเป็นเงิน 2,230,200 บาท ส่วนที่เหลืออีก 5,203,800 บาท จะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่จำเลยไม่จัดทำระบบสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามสัญญาเนื่องจากประสบภาวะขาดทุนโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและขอเงินคืน แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,266,428 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 2,230,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เสียเกินมาเป็นเงิน 56,460 บาท แก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มูลคดีเกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ได้ชำระไปแล้วคืนเพราะจำเลยผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วเมื่อปรากฎว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทำที่สำนักงานของจำเลยในกรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครจึงเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดส่วนจังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ดินที่โจทก์จำเลยตกลงจะซื้อจะขายกันถือไม่ได้ว่าเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดด้วย เมื่อมูลคดีมิได้เกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ดินดังกล่าวโจทก์ก็ย่อมไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องของตนต่อศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า โจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยบางส่วนโดยได้วางประจำค่าที่ดิน ณ สถานที่เปิดขายโครงการของจำเลยในจังหวัดนนทบุรี ตลอดจนได้ชำระค่าที่ดินในงวดต่อ ๆ มาด้วยจึงถือได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดด้วยนั้นเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่โจทก์เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ในชั้นตรวจคำฟ้องหากศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องผิดศาลก็ชอบที่จะสั่งไม่รับหรือคืนคำคู่ความหรือหากตรวจเห็นภายหลังจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีเรื่องเขตอำนาจศาลแล้วก็ชอบที่จะแก้ไขคำสั่งรับคำฟ้องที่สั่งโดยผิดหลงเป็นไม่รับคำฟ้องเพื่อให้โจทก์นำคำฟ้องไปยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาตลอดจนให้โจทก์จำเลยนำพยานเข้าสืบจนเสร็จสิ้นกระบวนความแล้ว ศาลชั้นต้นจะหยิบยกเรื่องเขตอำนาจศาลมาพิจารณาพิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ได้เพราะไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เห็นว่า โจทก์ได้เสนอคำฟ้องโดยอ้างว่ามูลคดีเกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น กรณีย่อมเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นเข้าใจว่าโจทก์มีอำนาจเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงได้มีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาในเบื้องต้นและเมื่อจำเลยยื่นคำให้การจำเลยก็ได้ยกเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นต่อสู้ไว้ด้วยคดีจึงมีประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยโดยรับฟังข้อเท็จจริงจากพยายหลักฐานในสำนวนที่โจทก์จำเลยนำสืบ แต่เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนรับฟังไม่ได้ว่ามูลคดีเกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ศาลชั้นต้นก็ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียได้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงหาเป็นการไม่ชอบดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ส่วนเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์นั้นก็เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคหนึ่งกำหนดให้ศาลสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดเฉพาะกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดีเท่านั้น แต่เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นได้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้วก็ย่อมไม่มีอำนาจสั่งคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับจึงชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตอำนาจศาลว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นแล้วพิพากษายกฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทอื่น โจทก์อุทธรณ์คัดค้านว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัย และเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ก็ฎีกาในลักษณะเดียวกันนี้ จึงเป็นฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ข้อ (2) (ก) ท้ายประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินมาให้แก่โจทก์”
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินกว่า 200 บาท แก่โจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ในชั้นฎีกาให้เป็นพับ