คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 902/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ต้องการยืมเงินจากจำเลย แต่จำเลยให้โจทก์ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่จำเลย เพื่อจำเลยจะได้เอาที่ดินนั้นไปประกันเงินกู้จากธนาคาร แล้วโจทก์และจำเลยจึงทำสัญญากันเองว่า โจทก์จำนองที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลย ดังนี้ สัญญาซื้อขายดังกล่าวเกิดขึ้นจากเจตนาลวงของโจทก์จำเลย ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ฉะนั้น เมื่อโจทก์ขอชำระหนี้ที่ยืมไป จำเลยมีหน้าที่ต้องรับชำระหนี้และโอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยต้องการกู้เงินจากธนาคาร จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารสาขาให้โจทก์โอนที่พิพาทแก่จำเลย โดยไม่ถือเป็นซื้อขายจริงจัง เมื่อโจทก์นำเงินมาชำระ จำเลยจะคืนที่พิพาทให้จึงได้ตกลงทำนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และทำสัญญากันเองว่า โจทก์จำนองที่พิพาทไว้แก่จำเลยมีกำหนด 1 ปี ต่อมาโจทก์ขอไถ่ที่พิพาท จำเลยไม่ยอมอ้างว่าโจทก์ขายให้ ขอให้ศาลแสดงว่าการซื้อขายเป็นโมฆะ ให้จำเลยคืนโฉนดที่พิพาทโดยให้จำเลยรับเงินตามที่ทำสัญญาจำนองไว้ ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา

จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่พิพาทจากโจทก์จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายแต่โจทก์ขอให้จำเลยทำหนังสือว่า จำนองที่พิพาทไว้แก่จำเลยเพื่อมิให้ญาติพี่น้องดูถูก ซึ่งไม่มีผลตามกฎหมาย

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า สัญญาซื้อขายที่พิพาทไม่มีผลบังคับให้จำเลยรับเงินตามที่ทำสัญญาจำนอง และโอนที่พิพาทให้โจทก์ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ต้องการยืมเงินจากจำเลย แต่จำเลยให้โจทก์โอนที่พิพาทแก่จำเลย เพื่อจำเลยจะได้เอาไปประกันเงินกู้จากธนาคารโจทก์และจำเลยจึงทำสัญญากันเอง เป็นว่าโจทก์ได้จำนองที่พิพาทไว้แก่จำเลย กำหนดให้โจทก์ไถ่คืนได้ใน 1 ปี ต่อมาได้ทำนิติกรรมซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายดังกล่าวมิได้ตกลงซื้อขายจริงจังจึงเกิดขึ้นจากเจตนาลวงของคู่กรณี ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ฉะนั้น เมื่อโจทก์ชำระหนี้ที่ยืมไป จำเลยมีหน้าที่ต้องรับชำระหนี้และโอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์โดยไม่ต้องวินิจฉัยว่าสัญญาจำนองนั้นเป็นโมฆะและเข้าลักษณะกู้ยืมหรือไม่

พิพากษายืน

Share