แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีมี ทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ฎีกาจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา จำเลย ทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 ศาลชั้นต้นสั่งว่าคำร้องของ จำเลยทั้งสอง ไม่ใช่เป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ยอมรับฎีกา แต่เป็นการฎีกาข้อเท็จจริงคัดค้านคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ต้องห้าม จึงไม่รับคำร้องจำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ที่มีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2537 ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับ ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 ไม่มี เนื้อหาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาแต่เป็นฎีกา คัดค้านข้อเท็จจริงในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ จึงไม่ใช่ การอุทธรณ์ในเนื้อหาที่ไม่รับฎีกาของศาลชั้นต้น อันจะทำให้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็น การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา กรณีไม่ได้ บังคับศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนสู่ศาลฎีกา ดังข้ออ้างของจำเลย ทั้งสอง ไม่เข้าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 252 ไม่รับอุทธรณ์ฉบับนี้ เพราะไม่เป็นสาระแก่การวินิจฉัยคืนค่า ขึ้นศาล จำเลยทั้งสองเห็นว่า คำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของศาลชั้นต้นไม่ชอบ เพราะศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ฉบับลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 ไปศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 2 ธันวาคม 2537 ด้วยเหตุผลเดียวกับคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ฉบับลงวันที่29 พฤศจิกายน 2537 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับ คดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 โปรดมีคำสั่ง ยกคำสั่งยกคำสั่งของศาลชั้นต้นทั้งหมดและมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนบันทึกข้อตกลง เรื่อง กรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินเลขที่ 1389 ตำบลคลองหนึ่ง (ท่าโขลง)อำเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานี(ธัญบุรี) ระหว่างนางเล็ก ฉ่ำเชยกับนางคมขำจบหิมเวศน์ ฉบับวันที่ 6 มกราคม 2525 เฉพาะที่เกินไป 800 ส่วน คงเหลือไว้ 100 ส่วน และให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่เกินไป ดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเล็ก ฉ่ำเชย หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการ แสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 83) จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ลงวันที่29 พฤศจิกายน 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าว(อันดับ 91) จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2537 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 92 แผ่นที่ 3) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97)
คำสั่ง จำเลยทั้งสองฎีกาว่า พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองที่ นำสืบมาไม่มีข้อพิรุธให้สงสัย รับฟังได้ว่านางเล็ก ฉ่ำเชยขายที่ดินพิพาท 800 ส่วนให้แก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า นางเล็ก ฉ่ำเชย ไม่ได้ขายที่ดินพิพาท 800 ส่วนให้แก่จำเลยที่ 1 ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ชอบแล้ว ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ