แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินแปลงหนึ่งแม้มีทางออกสู่ถนนสาธารณะแล้วก็อาจก่อให้เกิดทางภารจำยอมทางอื่นโดยอายุความอีกได้ การที่เจ้าของสามยทรัพย์ถมทางภารจำยอมให้สูงเท่ากับทางสาธารณะเพื่อเป็นการรักษาและใช้ทางภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1391ไม่เป็นการละเมิดต่อเจ้าของภารยทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 287 และ 288ที่ดินของโจทก์มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะผ่านที่ดินของจำเลยเป็นเวลานานเกินกว่า 10 ปี ที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นทางภารจำยอมจำเลยสร้างรั้วปิดกั้นทางภารจำยอมดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กั้นทางภารจำยอมกว้างประมาณ 3 เมตรยาวประมาณ 20 เมตร หากจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทนั้น จำเลยไม่เคยยินยอมให้โจทก์หรือบุคคลอื่นเดินผ่าน โจทก์บุกรุกเข้าไปในที่ดินจำเลยพร้อมกับทำคันดิน ขอให้ยกฟ้องโจทก์และขอให้บังคับโจทก์ปรับสภาพที่ดินที่โจทก์ทำคันดินทับให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและชดใช้ค่าเสื่อมประโยชน์ในที่ดินนับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะปรับสภาพที่ดินให้แล้วเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า มิได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของจำเลยที่ดินพิพาทเป็นทางภารจำยอมที่โจทก์และบุคคลอื่นใช้สัญจรออกสู่ทางสาธารณะมานานกว่า 10 ปี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางเดินพิพาทในที่ดินของจำเลยกว้าง 3.80 เมตร ยาว 18 เมตร ตามแผนที่พิพาทภายใต้พื้นที่สีแดงตกเป็นภารจำยอมของที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมให้โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กั้นทางภารจำยอมออกให้พ้นจากทางภารจำยอม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินแปลงหนึ่งนั้นแม้มีทางอีกทางอื่นได้แล้วก็อาจก่อให้เกิดทางภารจำยอมทางอื่นอีกได้ เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์แล้วแม้มีทางออกทางอื่นก็ไม่ก็ทำให้ทางภารจำยอมที่มีอยู่แล้วสิ้นไป
สำหรับที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์บุกรุกทำคันดินทับถมที่นาของจำเลยทำให้จำเลยเสียหายไม่สามารถปลูกข้างได้นั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1391 บัญญัติว่า เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภารจำยอมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์แม้จะฟังว่าโจทก์กระทำดั่งที่จำเลยฎีกา แต่โจทก์ในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ก็มีสิทธิที่จะทำการถมทางพิพาทเพื่อเป็นการรักษาและใช้ภารจำยอม เนื่องจากสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทได้ก่อสร้างถนนสายสุวรรณภูมิ-ตาหยวก สูงกว่าทางพิพาท จึงต้องถมทางพิพาทให้สูงเสมอกับถนนของทางราชการ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการละเมิดต่อจำเลย
พิพากษายืน