แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทางพิพาทเกิดจากประชาชนใช้เดินเพื่อไปตักน้ำจากบ่อสาธารณะและใช้เดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะมานานหลายสิบปีก่อนที่โจทก์จะสร้างถนนคอนกรีตบนที่ดินทางพิพาท โดยเจ้าของที่ดินขณะนั้นไม่มีการหวงห้ามสงวนสิทธิใด ๆ แม้จะไม่ได้ความว่าผู้ใดอุทิศที่ดินทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยตรงคือโดยพิธีการก็ต้องถือว่าเจ้าของที่ดินเดิมที่ทางพิพาทนี้ผ่านได้อุทิศที่ดินนั้นให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย ทางพิพาทจึงตกเป็นทางสาธารณะแล้วจำเลยรับโอนที่พิพาทภายหลังจากที่เจ้าของเดิมได้อุทิศทางพิพาทไปแล้วแม้ทางพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย จำเลยก็ไม่มีสิทธิยึดถือเอาเป็นของตนได้ เมื่อทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปกครองของเทศบาลตำบลศรีราชาโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้เข้าขัดขวางปิดกั้นทางพิพาทนั้นได้ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496มาตรา 50(2) ประกอบด้วยกฎกระทรวง ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2496) ออกตามความในพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ข้อ (2) และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 40
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาถนนสาธารณะภายในเขตเทศบาลตำบลศรีราชา ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 เดิมนางสาวอุสาห์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่16551 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ติดต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 289 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีของนายตี้ ที่ดินทั้งสองแปลงนี้ประชาชนซึ่งอยู่ในบริเวณดังกล่าวและบริเวณใกล้เคียงได้ใช้สัญจรไปมาและใช้ยวดยานพาหนะผ่านเข้าออกสู่ถนนสุรศักดิ์ 1 และถนนสุรศักดิ์สงวนซึ่งเป็นถนนสาธารณะตลอดมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้ว โดยนายตี้และนางสาวอุสาหืเจ้าของที่ดินยินยอมให้ประชาชนทั่วไปใช้สัญจรไปสู่ถนนสาธารณะได้โดยไม่ได้หวงห้ามหรือโต้แย้งสิทธิแต่ประการใด ซึ่งถือว่าเป็นการยกให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย และอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์ได้บำรุงรักษาทางดังกล่าวตลอดมา เมื่อปี 2520 โจทก์ได้รับคำร้องขอจากประชาชนที่สัญจรไปมาตามทางผ่านที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทำถนนคอนกรีต โจทก์จึงแจ้งให้เจ้าของที่ดินทั้งสองแปลงทราบเจ้าของที่ดินทั้งสองแปลงไม่หวงห้ามหรือโต้แย้งแต่ประการใด โจทก์จึงทำถนนคอนกรีตออกสู่ถนนสาธารณะและรับผิดชอบดูแลทางสาธารณะนี้ตลอดมา ต่อมาปี 2526 นางสาวอุสาห์ขายที่ดินโฉนดที่ 16551ให้จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองทราบอยู่แล้วว่าที่ดินแปลงพิพาทนี้มีทางสาธารณะที่โจทก์ดูแลรักษาตัดผ่าน แต่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันก่อสร้างรั้วคอนกรีตปิดกั้นทางสาธารณะซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาและรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองเปิดทางแล้วจำเลยทั้งสองไม่ยอมเปิด ทำให้ประชาชนในบริเวณที่ดินดังกล่าวไม่สามารถผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะตามปกติได้ ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดกั้นทางของจำเลยทั้งสอง และเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อรั้วคอนกรีตที่ปิดกั้นทางสาธารณะตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องและยอมให้ประชาชนใช้สัญจรไปมาได้ตามปกติถ้าจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อรั้วคอนกรีตดังกล่าวขอให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า นางสาวอุสาห์ไม่ได้ยินยอมให้ประชาชนผู้ใดใช้ที่ดินสัญจรไปสู่ถนนสาธารณะ โจทก์ไม่ได้แจ้งให้นางสาวอุสาห์ทราบหรือขออนุญาตนางสาวอุสาห์แต่อย่างใด ยังไม่ถือว่าเป็นการยกให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย ยังไม่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิและหน้าที่เข้าไปทำการก่อสร้างบำรุงรักษาทางในที่ดินของบุคคลอื่นโดยที่เจ้าของที่ดินไม่ได้ให้ความยินยอมหรืออนุญาต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวเป็นผู้ก่อสร้างรั้วคอนกรีตตามแนวที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้ปิดกั้นทางสาธารณะไม่ได้ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วคอนกรีตที่ปิดกั้นทางสาธารณะตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องและยอมให้ประชาชนใช้สัญจรไปมาได้ตามปกติ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ทางพิพาทผ่านในที่ดินโฉนดเลขที่ 16551 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรี ซึ่งปัจจุบันจำเลยทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ โดยทางพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของทางที่เชื่อมต่อกับทางที่ใช้เป็นสาธารณประโยชน์ในปัจจุบัน ทางดังกล่าวเริ่มจากถนนสุรศักดิ์สงวนเรื่อยขึ้นไปผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองและที่ดินของนายตี้ ทับทิม ไปออกสู่ทางสาธารณะที่ไม่ปรากฏชื่อ เพื่อออกสู่ถนนสุรศักดิ์ 1 ทางด้านทิศเหนือ และออกถนนสุขุมวิททางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องของโจทก์ เดิมเส้นทางนี้เป็นทางเดินลูกรังต่อมาเมื่อปี 2520 โจทก์ได้ทำเป็นถนนคอนกรีตซึ่งขณะนั้นที่ดินของจำเลยทั้งสองยังเป็นของนางสาวอุสาห์ เชื้อชาญ จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินแปลงดังกล่าวจากนางสาวอุสาห์เมื่อวันที่ 17 มีนาคม2526 ตามสารบัญจดทะเบียนหลังโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.5ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2526 ได้มีการสร้างรั้วคอนกรีตปิดกั้นทางพิพาท มีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาประการแรกว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ ฯลฯ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทางพิพาทเกิดจากประชาชนใช้เดินเพื่อไปตักน้ำจากบ่อสาธารณะและใช้เดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะมานานหลายสิบปีก่อนที่โจทก์จะสร้างถนนคอนกรีตบนที่ดินทางพิพาทนี้ โดยเจ้าของที่ดินขณะนั้นไม่มีการหวงห้ามสงวนสิทธิใด ๆแม้จะไม่ได้ความว่าผู้ใดอุทิศที่ดินทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยตรงคือโดยพิธีการก็ต้องถือว่าเจ้าของที่ดินเดิมที่ทางพิพาทนี้ผ่านได้อุทิศที่ดินนั้นให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย ทางพิพาทจึงตกเป็นทางสาธารณะแล้ว ฉะนั้นเมื่อจำเลยทั้งสองเพิ่งรับโอนที่พิพาทเมื่อปี2526 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่เจ้าของเดิมได้อุทิศทางพิพาทไปแล้วแม้ทางพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาเป็นของตนได้ ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าเมื่อคดีฟังได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปกครองของเทศบาลตำบลศรีราชาโจทก์ ทั้งข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันสร้างรั้วปิดกั้นทางพิพาทปรากฏตามภาพถ่ายหมายล.15 แผ่นที่ 5 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองผู้เข้าขัดขวางปิดกั้นทางพิพาทอันเป็นทางสาธารณประโยชน์นั้นได้ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 50(2) ประกอบด้วยกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2496) ออกตามความในพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ข้อ (2) และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พ.ศ. 2457 มาตรา 40
พิพากษายืน