คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินที่ทางราชการสงวนไว้เพื่อสร้างโรงเรียนระดับประถมศึกษาโดยครูใหญ่เป็นผู้จับจองไว้ และต่อมาได้แจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค.1 ในนามของศึกษาธิการอำเภอ ขณะนั้นโรงเรียนระดับประถมศึกษาสังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาได้โอนมาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์จำเลยร่วม จำเลยร่วมได้สร้างโรงเรียนในที่ดินดังกล่าวด้านทิศตะวันตก ส่วนทางด้านทิศตะวันออกอันเป็นที่ดินพิพาทเคยให้โจทก์เช่า ดังนี้ ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ทางราชการคือจำเลยร่วมสงวนไว้สำหรับสร้างโรงเรียน เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(3) (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2798-2799/2523)
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์จะครอบครองมาและได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วก็ไม่ได้สิทธิครอบครองและใช้ยันจำเลยร่วมไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่นา 1 แปลง โดยซื้อมาจากผู้มีชื่อตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อนฟ้อง ต่อมาได้ออก น.ส.3 ก. เลขที่ 797 จำเลยได้บุกรุกเข้าไปขัดขวางไม่ให้โจทก์ทำการขนดินและเข้าไปทำกินในที่พิพาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ยุติการขัดขวางการใช้สิทธิในที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง และให้ใช้ค่าเสียหาย 4,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยและจำเลยร่วมให้การมีใจความอย่างเดียวกันว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นส่วนหนึ่งขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์จำเลยร่วม สงวนไว้เป็นที่ปลูกสร้างโรงเรียนประชาบาลประจำหมู่บ้านตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ต่มา พ.ศ. 2498ศึกษาธิการอำเภอในขณะนั้นได้แจ้งการครอบครองไว้ในนามของกระทรวงศึกษาธิการและต่อมาโรงเรียนประชาบาลซึ่งเดิมสังกัดกระทรวงศึกษาธิการได้โอนมาสังกัดองค์การจำเลยร่วม จำเลยร่วมได้ปลูกสร้างอาคารโรงเรียนในที่ดินด้านทิศตะวันตกและตั้งแต่จำเลยเป็นครูใหญ่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของโรงเรียนเมื่อโจทก์ขุดดินของโรงเรียน จำเลยจึงห้ามปราม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทของโจทก์ ห้ามจำเลยและจำเลยร่วมเข้าเกี่ยวข้องและให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 1,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานจำเลยเบิกความฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ราชการสงวนไว้เพื่อสร้างโรงเรียนระดับประถมศึกษา โดยนายพุฒิซึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนบ้านจางวานเป็นผู้จับจองไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ต่อมาในพ.ศ. 2498 ได้แจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค.1 ได้โดยแจ้งในนามของนายวิสุทธิ์ศึกษาธิการอำเภอหล่มสักในขณะนั้น และขณะนั้นโรงเรียนระดับประถมศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2509ได้โอนมาสังกัดการบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ คือจำเลยร่วม และในปี พ.ศ. 2521จำเลยร่วมได้สร้างโรงเรียนระดับประถมศึกษาในที่ดินที่ได้จับจองไว้ โดยสร้างทางด้านตะวันตกของที่ดิน ส่วนทางด้านตะวันออกยังว่างอยู่และเคยให้โจทก์เช่าทำกินส่วนหนึ่ง คือที่ดินพิพาท ศาลฎีกาเห็นว่าพยานฝ่ายจำเลยไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท มีแต่คอยรักษาประโยชน์ส่วนรวมได้ จึงเชื่อถือได้ และรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ทางราชการคือจำเลยร่วมสงวนไว้สำหรับสร้างโรงเรียน เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) เทียบได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2798, 2799/2523

ที่โจทก์นำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ได้แจ้งการครอบครองและเมื่อปี พ.ศ. 2519 มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทางอากาศโจทก์ได้ขอออกหนังสือรับรองทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และได้รับมาตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งโจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ เห็นว่าที่ดินตามโจทก์ฟ้องคือที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยร่วมสงวนไว้สำหรับสร้างโรงเรียนดังกล่าวข้างต้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์จะครอบครองมาก็ไม่ได้สิทธิครอบครองและใช้ยันจำเลยร่วมไม่ได้

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share