คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลฎีกามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และขับไล่ ท. ระหว่างบังคับคดี จำเลยได้ยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ไว้ โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) อยู่ในเขตที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองและใช้ประโยชน์ และจำเลยเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินพิพาท โดยรับมอบการครอบครองมาจาก ท. โดยชอบ จนได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท กับมีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงขัดแย้งกันไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทกับที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นที่ดินคนละแปลงกันหรือไม่ และจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท กรณีจึงรับฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทกับที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวแม้จำเลยไม่ใช่คู่ความในคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาก็ตาม แต่คำพิพากษาในคดีดังกล่าวก็ใช้ยันจำเลยผู้เป็นบุคคลภายนอกได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง (2) การที่จำเลยให้การรับว่าได้รับที่ดินพิพาทมาจาก ท. ซึ่งไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่จำเลยได้ อันเป็นการรับมอบที่ดินพิพาทโดยเด็ดขาด มิใช่เพื่อประกันการชำระหนี้แล้วได้ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 1 ปี ทำให้ได้สิทธิครอบครอง โดยไม่ได้ให้การว่าจำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ด้วยเหตุประการอื่น จำเลยจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามบทบัญญัติข้างต้น โจทก์ย่อมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ไว้ แม้ว่า ท. ยังไม่ได้ชำระเงินยืมและดอกเบี้ยให้จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 ตำบลขุย อำเภอชุมพวง (กิ่งอำเภอลำทะเมนชัย) จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา เมื่อปี 2540 โจทก์ฟ้องขับไล่นายทวี ออกจากที่ดินพิพาท และศาลฎีกามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และขับไล่นายทวีและบริวารปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5379/2544 ระหว่างบังคับคดีปรากฏว่าจำเลยได้ยึดถือต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ดังกล่าวไว้โจทก์มีความจำเป็นต้องนำต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ไปทำนิติกรรมจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท และให้จำเลยส่งคืนต้นฉบับเอกสารสิทธิแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยเป็นการยึดถือเอกสารสิทธิของโจทก์โดยไม่ชอบและไม่สุจริต และเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ขอคิดค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 ตำบลขุย อำเภอชุมพวง (กิ่งอำเภอลำทะเมนชัย) จังหวัดนครราชสีมา ให้โจทก์ หากเอกสารดังกล่าวสูญหายให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาชุมพวง ออกใบแทนใหม่แก่โจทก์ โดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทห้ามยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบเอกสารสิทธิตามฟ้องคืนและจำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะที่ดินพิพาทเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่ ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 เมื่อประมาณปลายปี 2526 นายทวีซึ่งมีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายแต่ผู้เดียวมอบการครอบครองที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 ให้แก่จำเลยเป็นประกันหนี้ที่นายทวีกู้ยืมเงินจากจำเลย ซึ่งปัจจุบันนายทวีก็ยังไม่ได้ชำระหนี้นั้น และภายหลังจากที่ได้รับมอบการครอบครองแล้ว จำเลยก็ครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยโจทก์และผู้อื่นไม่เคยเข้าทำประโยชน์หรือรบกวนการครอบครองของจำเลยแต่ประการใด จำเลยจึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยได้รับโอนการครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากนายทวี แล้วครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและมีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 ไว้จนกว่าจำเลยจะได้รับชำระหนี้จนครบถ้วน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยไม่ได้ใช้ที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยใช้ที่ดินพิพาทโดยสิทธิของจำเลยเอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 ตำบลขุย อำเภอชุมพวง (กิ่งอำเภอลำทะเมนชัย) จังหวัดนครราชสีมา แก่โจทก์ กับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 ตำบลขุย อำเภอชุมพวง (กิ่งอำเภอลำทะเมนชัย) จังหวัดนครราชสีมา ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 ตุลาคม 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) คืนโจทก์ และจำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความศาลชั้นต้น 3,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,500 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คำให้การและคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยระบุว่า ที่ดินตามหนังสือรรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 อยู่ในเขตที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยครอบครองและใช้ประโยชน์ แล้วยังได้ระบุว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 โดยรับมอบการครอบครองมาจากนายทวีโดยชอบ จนได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท กับมีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 เนื่องจากจำเลยยังไม่ได้รับชำระคืนเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยจากนายทวี คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงขัดแย้งกันไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทกับที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นที่ดินคนละแปลงกันหรือไม่ และจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 หรือไม่ กรณีจึงรับฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทกับที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน และโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5379/2544 แม้จำเลยไม่ใช่คู่ความในคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาก็ตาม แต่คำพิพากษาในคดีดังกล่าวก็ใช้ยันจำเลยผู้เป็นบุคคลภายนอกได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) ดังนั้น เมื่อจำเลยให้การรับว่าได้ที่ดินพิพาทมาจากนายทวี ซึ่งไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่จำเลยได้อันเป็นการรับมอบที่ดินพิพาทโดยเด็ดขาด มิใช่เพื่อการประกันการชำระหนี้ดังที่กล่าวไว้ในคำให้การครั้งแรก แล้วได้ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 1 ปี ทำให้ได้สิทธิครอบครอง โดยไม่ได้ให้การว่าจำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ด้วยเหตุประการอื่น จำเลยจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามบทบัญญัติข้างต้น โจทก์ย่อมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2266 ไว้ แม้ว่านายทวียังไม่ได้ชำระเงินยืมและดอกเบี้ยให้จำเลยดังที่จำเลยฎีกา กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท

Share