แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข.และ น. เจ้ามรดกร่วมกันทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกของตนให้แก่มูลนิธิ “ขุนและนางนิกรนรารักษ์” (โดยได้ระบุทรัพย์มรดกไว้โดยเฉพาะหลายอย่าง) ทั้งได้ระบุไว้ในพินัยกรรมด้วยว่า “ทรัพย์สินอื่น ๆ ของข้าพเจ้านอกจากที่ระบุไว้ข้างต้น ถ้าผู้ทำพินัยกรรมคนใดคนหนึ่งวายชนม์ลง ให้ตกเป็นของผู้ทำพินัยกรรมคนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ผู้เดียว ผู้อื่นจะเกี่ยวข้องมิได้เป็นอันขาด” เช่นนี้เห็นได้ว่าทรัพย์สินอื่นนอกจากที่ระบุยกให้แก่มูลนิธิ ถ้าผู้ทำพินัยกรรมคนใดคนหนึ่งวายชนม์ลงให้ตำเป็นของผู้ทำพินัยกรรมคนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ผู้เดียว เมื่อ ข.ตายไปก่อน น. ทรัพย์สินที่มิได้ระบุไว้จึงตกได้แก่ น. เมื่อ น.ตายโโยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ก็ตกได้แก่ทายาทโดยธรรมของ น.โจทก์และบุคคลอื่นที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการจัดการทรัพย์มรดกของมูลนิธิตามพินัยกรรมจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของ น. ส่วนที่มิได้ทำพินัยกรรมไว้ และไม่มีสิทธิขอเพิกถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการมรดกดังกล่าวของ น.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากนางบรรจง ณ บางช้าง ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางนิกรณ์รักษ์เจ้ามรดก โดยอ้างว่าไม่มีพินัยกรรม ศาลจังหวัดสมุทรสงครามไต่สวนแล้วมีคำสั่งตั้งให้นางบรรจง ณ บางช้าง เป็นผู้จัดการมรดกของนิกรนรารักษ์ตามคำร้องขอ
ต่อมานายแพทย์บุญเติม ดิลกวิลาศผู้อำนวยการโรงพยาบาลจังหวัดสมุทรสงครามยื่นคำร้องว่านางนิกรนรารักษ์เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์มรดกไว้ซึ่งนายบรรจง ณ บางช้าง ทราบดีกลับปกปิดความจริงโดยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ว่าไม่มีพินัยกรรมเป็นการท้องเท็จ ไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกต่อไป และจะเกิดความเสียหายแก่กองมรดกของนางนิกรนรารักษ์ ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยเป็นผู้จัดการมรดกของนางนิกรนรารักษ์ตามพินัยกรรมดังกล่าว จึงขอให้มีคำสั่งเพิกถอนนางบรรจง ณ บางช้าง จากผู้จัดการมรดกและตั้งผู้ร้องพร้อมด้วยบุคคลผู้มีชื่อตามพินัยกรรมเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ต่อไป
นางบรรจง ณ บางช้างผู้ร้องเดิมยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องมิได้มีส่วนได้เสียในกองมรดกรายนี้ ตามพินัยกรรมฉบับท้ายคำร้องข้อ ๑ (๑) ได้ระบุทรัพย์สินเฉพาะอย่างไว้ว่าถ้าทั้งสองคนหรือคนใดตายลงให้ทรัพย์สินนี้ตกแก่มูลนิธิและวรรคหลังระบุว่าทรัพย์สินนอกจากที่กล่าวไว้ในวรรคแรก ถ้าคนใดตายลงก็ให้ตกเป็นของคนที่ยังอยู่ ย่อมแสดงว่าผู้ทำพินัยกรรมมีเจตนายกทรัพย์เฉพาะส่วนให้มูลนิธิ จึงได้แยกทรัพย์ไว้ต่างหากจากกัน ห้ามมิให้บุคคลอื่นเกี่ยวข้อง เมื่อขุนนิกรนรารักษ์ได้ตายลงก่อนนางนิกรนรารักษ์ ทรัพย์สินเฉพาะส่วนนี้จึงตกได้แก่นางนิกรนรารักษ์ และเมื่อนางนิกรนรารักษ์ตายในภายหลัง ก็ไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนนี้ให้แก่ผู้ใด จึงเป็นมรดกตกแก่ทายาทโดยธรรมไม่ได้ ตกได้แก่มูลนิธิและกรรมการจัดการมรดกจะเข้ามายุ่งเกี่ยวไม่ได้ และไม่มีอำนาจจัดการมรดกที่ผู้คัดค้านจัดการอยู่ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเรียกนายแพทย์บุญเติม ดิลกวิลาศผู้ร้องว่าโจทก์เรียกนางบรรจง ณ บางช้าง ผู้คัดค้านว่าจำเลย และวินิจฉัยว่าจำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเฉพาะส่วนที่ไม่มีพินัยกรรมเท่านั้น ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนนางบรรจง ณ บางช้าง จากการเป็นผู้จัดการมรดก และมีคำสั่งตั้งให้โจทก์กับบุคคลที่ระบุไว้ในพินัยกรรมเป็นกรรมการผู้จัดการมรดกของนางนิกรนรารักษ์ตามพินัยกรรมของขุนและนางนิกรนรารักษ์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามข้อความในพินัยกรรมข้อ ๑ (๑) เจ้ามรดกทั้งสองคืนขุนนิกรนรารักษ์และนางนิกรนรารักษ์มีเจตนาที่จะยกทรัพย์มรดกของตนให้แก่มูลนิธิ “ขุนและนางนิกรนรารักษ์ เฉพาะทรัพย์สินที่ระบุไว้ในพินัยกรรมเท่านั้น ส่วนทรัพย์สินอื่นนอกจากที่ระบุไว้ข้างต้นเจ้ามรดกหามีความประสงค์ให้ตกได้แก่มูลนิธิดังกล่าวไม่ ดังเห็นได้ว่าได้ระบุแยกไว้ในวรรคท้ายว่าทรัพย์สินอื่นนอกจากที่ระบุไว้ข้างต้น ถ้าผู้ทำพินัยกรรมคนใดคนหนึ่งวายชนม์ลงให้ตกเป็นของผู้ทำพินัยกรรมคนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ผู้เดียว หากเจ้ามรดกมีเจตนาที่จะให้ทรัพย์มรดกตกได้แก่มูลนิธิทั้งหมดแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องระบุแยกไว้ตามข้อ ๑ (๑) วรรคแรกกับวรรคท้ายเช่นนั้น เมื่อขุนนิกรนรารักษ์เจ้ามรดกคนหนึ่งตายไปก่อน ทรัพย์สินตามข้อ ๑ (๑) วรรคท้ายจึงตกได้แก่นางนิกรนรารักษ์ผู้ยังมีชีวิตอยู่ต่อมา และเมื่อนางนิกรนรารักษ์ตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ใดไว้ จึงเป็นมรดกไม่มีพินัยกรรมและตกได้แก่ทายาทโดยธรรม โจทก์และบุคคลอื่นที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการจัดการทรัพย์มรดกของมูลนิธิจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของนางนิกรนรารักษ์ ส่วนที่มิได้ทำพินัยกรรมไว้และไม่มีสิทธิขอเพิกถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการมรดกดังกล่าว
พิพากษายืน