แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ถูกกล่าวหาไปพบผู้พิพากษาหัวหน้าศาลที่บ้านพักเพื่อขอร้องให้ช่วยปล่อยชั่วคราว พ.หรือรอการลงโทษแก่ พ.เพื่อต้องการช่วยเหลือ พ.ซึ่งเป็นหลานโดยสุจริตใจตามสมควรแก่กรณี และผู้ถูกกล่าวหามิได้เสนอผลประโยชน์เป็นเงินแก่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล เมื่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลปฏิเสธและแนะนำให้ไปปรึกษาทนายความ ผู้ถูกกล่าวหาก็กลับไปโดยดี ทั้งผู้ถูกกล่าวหามิได้กล่าวรับรองต่อ พ.หรือผู้ใดว่าศาลจะให้ปล่อยชั่วคราว พ.หรือตัดสินรอการลงโทษให้แก่ พ.เช่นนี้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงมิใช่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 31 (1)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจาก นางเพ็ญศรีหรือติ๋ว สำลีว่องหรือคนสุภาพถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๔๒/๒๕๔๑ หมายเลขแดงที่ ๔๖๗/๒๕๔๑ของศาลชั้นต้น ในข้อหาความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ลงโทษจำคุกนางเพ็ญศรี ๓ ปี ในวันดังกล่าว นายดาบตำรวจพยัพตั้งอั้น ทำหน้าที่หัวหน้าตำรวจและรักษาความปลอดภัยประจำศาลจังหวัดหลังสวนขณะกำลังคุมตัวนางเพ็ญศรีออกจากห้องพิจารณาเพื่อกลับเข้าห้องควบคุมของศาล นางเพ็ญศรีพูดกับนายดาบตำรวจพยัพว่า จ่าสิบตำรวจสมพล พัฒนวิเชียร ผู้ถูกกล่าวหารับปากว่าจะวิ่งเต้นในเรื่องประกันตัวและเรื่องคดี ทั้งได้เสียค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ถูกกล่าวหามากแล้ว แต่ไม่เห็นว่าจะได้ผลอะไร และผู้ถูกกล่าวหายังรับปากว่าจะวิ่งเต้นในชั้นอุทธรณ์ให้อีก นอกจากนี้นางเพ็ญศรีเคยพูดในลักษณะเดียวกันต่อ นายดาบตำรวจไพฑูรย์มันทรานนท์ และนายดาบตำรวจโกสิน สุวรรณชาติ ว่าเสียเงินไปเป็นแสนแล้ว แต่ยังประกันตัวไม่ได้และยังต้องติดคุก นายดาบตำรวจพยัพเกรงว่าจะมีผู้หลอกลวงนางเพ็ญศรีโดยแอบอ้างศาลเพื่อหาผลประโยชน์ อันอาจทำให้เกิดความเสื่อมเสียขึ้นแก่ศาลและผู้พิพากษา จึงทำบันทึกข้อเท็จจริงเสนอต่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑ (๑), ๓๓ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ จึงให้จำคุกร้อยตำรวจตรีหรือจ่าสิบตำรวจหรือนายสมพล พัฒนวิเชียร ผู้ถูกกล่าวหา ๒ เดือน
ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทางไต่สวนข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า นางเพ็ญศรีหรือติ๋ว สำลีว่องหรือคนสุภาพ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๖๗/๒๕๔๑ของศาลชั้นต้น ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ๓ ปี ในความผิดเกี่ยวกับเงินตรา เมื่อวันที่๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ซึ่งก่อนหน้านั้นในชั้นฝากขัง นายอวยชัย คนสุภาพ อดีตสามีของนางเพ็ญศรีได้พาผู้ถูกกล่าวหาซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของนางเพ็ญศรีมาเยี่ยมนางเพ็ญศรีที่ห้องควบคุมผู้ต้องหาของศาลชั้นต้น และรับปากนางเพ็ญศรีว่าจะช่วยเหลือติดต่อให้ศาลชั้นต้นสั่งปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณา หลังจากนั้นผู้ถูกกล่าวหาและนายอวยชัยได้ไปพบผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นที่บ้านพักและสอบถามว่าลูกหลานถูกจับ มีทางช่วยเหลือได้หรือไม่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นให้กลับไปหาทนายความ เมื่อผู้ถูกกล่าวหาขอให้ผ่อนหนักเป็นเบาโดยรอการลงโทษหรือปรับแทน ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลก็บอกว่าไม่ได้ ต้องแล้วแต่รูปคดี นางเพ็ญศรีไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาและถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ผู้ถูกกล่าวหาได้พูดกับนางเพ็ญศรีว่าจะช่วยให้นางเพ็ญศรีได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์ โดยบอกว่าไม่ทราบว่านายที่กรุงเทพยังอยู่หรือเปล่า แต่นางเพ็ญศรีก็ไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ถูกกล่าวหามีว่า ผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์เรียกร้องผลประโยชน์เป็นเงินจากนางเพ็ญศรีเพื่อนำไปวิ่งเต้นคดีให้ได้รับการประกันตัวหรือเพื่อให้รอการลงโทษหรือไม่ จากการไต่สวนของศาลชั้นต้นก็มีแต่คำเบิกความของนายดาบตำรวจพยัพ ตั้งอั้น เท่านั้นที่ยืนยันว่าในวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกนางเพ็ญศรีนั้น นางเพ็ญศรีร้องไห้ เมื่อสอบถามก็ได้ความว่าได้เสียเงินวิ่งเต้นให้ผู้ถูกกล่าวหาไปเป็นแสนแล้ว แต่ก็ประกันตัวไม่ได้ ทั้งยังถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกด้วย ซึ่งเป็นเพียงคำบอกเล่า มิได้รู้เห็นว่ามีการเสียเงินให้ผู้ถูกกล่าวหาไปจริงหรือไม่ส่วนนางเพ็ญศรีนั้นเพียงแต่เบิกความว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยไปเยี่ยมพร้อมกับนายอวยชัยและถามพยานว่ามีเงินหรือไม่ จะช่วยวิ่งเต้นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นให้ปล่อยชั่วคราวเพราะรู้จักกัน เป็นเพื่อนกับบุตรชาย พยานบอกว่าไม่มีเงินและไม่ปรากฏว่าพยานได้ให้เงินแก่ผู้ถูกกล่าวหาไปเพื่อเป็นค่าวิ่งเต้นดังกล่าวแต่อย่างใด นายอวยชัยอดีตสามีนางเพ็ญศรีก็เบิกความว่า เมื่อผู้ถูกกล่าวหาทราบว่านางเพ็ญศรีซึ่งเป็นหลานถูกจับก็มาเยี่ยมพร้อมกับพยาน และพูดว่าจะไปช่วยพูดกับผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นให้ อาจได้รับการปล่อยชั่วคราว เพราะเคยเห็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นมาตั้งแต่เด็ก มีบ้านอยู่ใกล้กัน และรู้จักบิดาภริยาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นด้วย หลังจากนั้นประมาณ ๑สัปดาห์ ผู้ถูกกล่าวหาและพยานไปพบผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นที่บ้านพัก ผู้ถูกกล่าวหาถามผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นว่า หลานถูกจับจะขอให้ช่วยปล่อยชั่วคราวได้หรือไม่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นปฏิเสธ ผู้ถูกกล่าวหาจึงถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นขอให้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาโดยตัดสินรอการลงโทษและลงโทษปรับแทนจะได้หรือไม่ แต่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นตอบว่าไม่ได้ ต้องแล้วแต่รูปคดี ดังนี้จากคำเบิกความของนายอวยชัยไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้เรียกร้องผลประโยชน์เป็นเงินจากนางเพ็ญศรีเพื่อนำไปวิ่งเต้นให้ได้รับการประกันตัวหรือเพื่อให้รอการลงโทษแต่อย่างใด การที่ผู้ถูกกล่าวหาไปพบผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นที่บ้านพักเพื่อขอร้องให้ช่วยปล่อยชั่วคราวหรือรอการลงโทษนั้น ก็เป็นการทำไปเพื่อต้องการช่วยเหลือนางเพ็ญศรีซึ่งเป็นหลานโดยไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้เสนอผลประโยชน์เป็นเงินแก่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นแต่อย่างใด และเมื่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นปฏิเสธและแนะนำให้ไปปรึกษาทนายความ ผู้ถูกกล่าวหาก็กลับไปโดยดี ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กล่าวรับรองต่อนางเพ็ญศรีหรือนายอวยชัยว่าศาลชั้นต้นจะให้ปล่อยชั่วคราวหรือตัดสินรอการลงโทษให้แต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นในชั้นฎีกานางเพ็ญศรียังได้ทำบันทึกลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน๒๕๔๑ ด้วยลายมือของตนเองยืนยันว่านางเพ็ญศรีไม่เคยให้เงินแก่ผู้ถูกกล่าวหาเพื่อให้ช่วยวิ่งเต้นคดีแต่อย่างใด ผู้ถูกกล่าวหาได้ช่วยเหลือนางเพ็ญศรีโดยสุจริตใจเพราะเป็นญาติกันโดยมีศักดิ์เป็นอาและด้วยความสงสารลูกของนางเพ็ญศรี เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหานั้นกระทำไปโดยสุจริตด้วยเจตนาที่จะช่วยเหลือนางเพ็ญศรีซึ่งเป็นญาติกันตามสมควรแก่กรณี ทั้งไม่ปรากฏว่าได้เรียกร้องหรือรับผลประโยชน์เป็นเงินตอบแทนแต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑ (๑)
พิพากษากลับเป็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล.