คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันว่า ถ้าโจทก์ทั้งสามและ ผ. ยอมสาบานต่อหน้าวัดทั้งเจ็ดวัดที่กำหนด จำเลยยอมแพ้คดี ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณานัดสาบานไว้สองวัน แต่มิได้กำหนดว่าต้องสาบานให้เสร็จตามวันเวลานัดทั้งสองวัน อันจะถือว่าเป็นข้อแพ้ชนะกัน การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนสาบานไปหลังจากที่กำหนด โดยไม่ใช่เกิดจากความผิดของฝ่ายโจทก์ จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงหาได้ไม่ เพราะข้อที่จะถือให้เป็นข้อแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องข้อความที่จะต้องสาบานและวัดที่กำหนดไว้ เมื่อโจทก์ทั้งสามและ ผ.ได้สาบานต่อหน้าวัดจนครบทุกวัดตามที่กำหนดไว้แล้ว ถือว่าฝ่ายโจทก์ได้ปฏิบัติตามคำท้าครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับจำเลย บิดามารดาโจทก์และจำเลยมีที่ดินทั้งหมด 4 แปลง เมื่อบิดามารดาถึงแก่กรรมที่ดินดังกล่าวก็ตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยโดยต่างร่วมกันครอบครอง ต่อมาโจทก์ทั้งสามกับจำเลยตกลงให้จำเลยไปขอออกโฉนดที่ดินทั้ง 4 แปลง แล้วโจทก์ทั้งสามขอให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดตามส่วนแบ่ง แต่จำเลยไม่ยอม อ้างว่าเป็นของจำเลยขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ทั้งสามตามส่วน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาโดยให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดยโสธรจดทะเบียนแบ่งแยกให้ จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องไม่ใช่มรดกเพราะบิดามารดายกให้จำเลยแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น คู่ความท้ากันว่า ถ้าโจทก์ทั้งสามและนายผา ทองปาน ยอมสาบานต่อหน้าวัดทั้งเจ็ดวัดที่จะไปสาบาน และข้อความที่สาบานให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ จำเลยยอมแพ้คดีและยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ ยกเว้นที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 4518 ซึ่งโอนแก่บุคคลภายนอกไปก่อนฟ้องคดีนี้และโจทก์ประสงค์จะไปดำเนินคดีเป็นคดีใหม่ต่างหาก ถ้าโจทก์คนใดคนหนึ่งและนายผาไปสาบานไม่ครบ โจทก์ยอมแพ้คดี การสาบานคู่ความตกลงให้กระทำต่อหน้าจ่าศาลหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากจ่าศาล โดยจำเลยจะเป็นฝ่ายนำจ่าศาลไปยังวัดทั้งเจ็ด คู่ความตกลงไปสาบานที่วัดพระธาตุพนม วัดภูด่านแต้ในวันที่ 16 มกราคม 2531 เวลา 8 นาฬิกาเป็นต้นไป และไปสาบานที่วัดป่าอัมพวัน วัดป่าบ้านสงเปือยวัดบ้านนาถ่ม วัดบูรพา คำเขื่อนแก้ว วัดบ้านบกน้อย ในวันที่17 มกราคม 2531 เวลา 8 นาฬิกา เป็นต้นไป ถ้าโจทก์และนายผา ทองปานไม่ไปโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควรถือว่าโจทก์ไม่ยอมสาบานและยอมแพ้คดี ถ้าจำเลยไม่ไปก็ให้ดำเนินการไปได้ ถ้าไม่มีคู่ความฝ่ายใดไปสาบานเลยให้ศาลจำหน่ายคดีจากสารบบความ รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 12 มกราคม 2531 ครั้นวันที่16 มกราคม 2531 จำเลยกับทนายจำเลยได้นำนายวีระศักดิ์ พรหมภักดีเจ้าหน้าที่ศาลพร้อมโจทก์ทั้งสามกับนายผา ทองปาน ไปสาบานที่วัดภูด่านแต้ และวัดพระธาตุพนม โดยนายวีระศักดิ์ได้บันทึกการไปสาบานที่วัดทั้งสองแห่งต่อหน้าพระครูปลัดมหาเถรานุวัตรซึ่งเป็นเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดนครพนม วันรุ่งขึ้นบุคคลทั้งหมดดังกล่าว ได้ไปที่วัดป่าอัมพวัน และวัดป่าบ้านสงเปือย เมื่อโจทก์ทั้งสามและนายผาได้สาบานต่อหน้าวัดทั้งสองเรียบร้อยแล้วนายวีระศักดิ์ได้นำไปสาบานที่วัดบูรพา คำเขื่อนแก้ว ปรากฏว่าเจ้าอาวาสวัดไม่ยอมให้ทำพิธีสาบาน จึงได้เดินทางต่อไปที่วัดบ้านบกน้อย แต่เจ้าอาวาสไม่อยู่ โจทก์ทั้งสามและจำเลยตกลงกันไม่ได้ โจทก์ทั้งสามและจำเลยจึงพากันกลับ โดยมิได้ไปสาบานที่ธาตุนายดี วัดบ้านนาถ่ม ต่อมาวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2531จำเลยยื่นคำแถลงต่อศาลว่า ในการสาบานนั้น โจทก์ทั้งสามไม่เต็มใจสาบานตามบันทึกของศาล แต่ในที่สุดก็ยอมสาบานตามข้อตกลงที่ศาลบันทึกไว้ให้เป็นถ้อยสาบาน นอกจากนี้โจทก์ทั้งสามและนายผาก็มิได้ไปสาบานให้ครบทั้งเจ็ดวัด ถือว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามคำท้า ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีมิใช่ความผิดของโจทก์ที่สาบานต่อหน้าวัดบูรพา คำเขื่อนแก้ว และวัดบ้านบกน้อยไม่ได้ เพราะเกิดเหตุขัดข้องจะถือว่าโจทก์แพ้คดีตามคำท้ายังไม่ได้ส่วนการที่มิได้ไปสาบานที่ธาตุนายดีวัดบ้านนาถ่มเนื่องจากเป็นเวลาค่ำและมีเหตุขัดข้องทั้งสองวัดมาก่อน เจ้าหน้าที่ศาลจึงให้โจทก์กลับไปก่อน และโจทก์มิได้นำเจ้าหน้าที่ศาลออกไปสาบานก็หาใช่ความผิดของโจทก์ไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่รับจะพาเจ้าหน้าที่ศาลไป แล้วสั่งให้จำเลยนำเจ้าหน้าที่ศาลออกไปกับฝ่ายโจทก์เพื่อสาบานยังวัดที่เหลือ จำเลยแถลงจะไม่นำเจ้าหน้าที่ศาลไปสาบานอีก ฝ่ายโจทก์รับจะนำเจ้าหน้าที่ศาลไปสาบาน ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้โจทก์นำเจ้าหน้าที่ศาลไปสาบานในวันที่ 27 และ 28 กุมภาพันธ์2531 เวลา 9 นาฬิกา เป็นต้นไป ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2531 ครั้นวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2531โจทก์ทั้งสามและนายผาได้ไปสาบานต่อหน้าธาตุนายดี วัดบ้านนาถ่มวัดบ้านบกน้อย ต่อหน้าพระพุทธรูปพระประธาน และวัดบูรพาคำเขื่อนแก้ว ต่อหน้าอุโบสถ โดยมีนายวีระศักดิ์ เจ้าหน้าที่ศาลเป็นผู้นำสาบาน ส่วนจำเลยและทนายจำเลยมิได้ไปด้วย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์สาบานได้ตามคำท้าทุกประการ พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7521 ตำบลดงแคนใหญ่ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์คนละ 5 ไร่ 10 ตารางวา โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่7522 ตำบลดงแคนใหญ่ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์คนละ 3 ไร่ 45 ตารางวา โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่7523 ตำบลดงแคนใหญ่ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์คนละ 2 งาน 10 ตารางวา ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าโจทก์ทั้งสามและนายผาได้ปฏิบัติตามคำท้าครบถ้วนหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ฝ่ายโจทก์จะต้องสาบานให้ครบทุกวัดก่อนวันนัดพร้อมวันที่4 กุมภาพันธ์ 2531 การที่โจทก์ไปสาบานใหม่ภายหลังนั้นไม่ถูกต้องและต้องแพ้คดีตามคำท้านั้น เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นวันที่ 12 มกราคม 2531 ได้จดวันนัดสาบานไว้สองวัน แต่มิได้กำหนดว่าจะต้องทำให้เสร็จตามวันเวลานัดทั้งสองวันนั้นอันจะถือว่าเป็นข้อแพ้ชนะกัน ข้อที่จะถือให้เป็นข้อแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องข้อความที่จะต้องสาบานและวัดที่กำหนดไว้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนสาบานไปหลังจากที่กำหนดในวันที่ 17มกราคม 2531 โดยไม่ใช่เกิดจากความผิดของฝ่ายโจทก์ จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงหาได้ไม่ ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าจะต้องสาบานตามประเพณีท้องถิ่น กล่าวคือ โจทก์นำสาบานและให้เจ้าอาวาส หรือตัวแทนวัดเป็นผู้ทำพิธีสาบานและดื่มน้ำสาบานนั้น เห็นว่า ไม่ปรากฏข้อตกลงดังกล่าวของโจทก์และจำเลยในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า จะต้องทำพิธีสาบานตามที่จำเลยฎีกา ข้อตกลงท้ากันมีเพียงว่าให้สาบานต่อหน้าวัดทั้งเจ็ดวัดเท่านั้น เมื่อโจทก์ทั้งสามและนายผาได้ไปสาบานต่อหน้าวัดที่เหลือจนครบทุกวัดตามที่กำหนดไว้แล้ว ถือได้ว่าฝ่ายโจทก์ปฏิบัติตามคำท้าครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share