คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8973/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในการพิจารณาคดีอาญา ผู้ถูกกล่าวหาถึงแก่ความตาย กรณีถือได้ว่าเป็นเรื่องความมรณะของผู้ถูกกล่าวหา ยังให้คดีไม่มีประโยชน์ต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 (3) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจาก ผู้กล่าวหาทั้งสองซึ่งเป็นบิดาและมารดาของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๖๘๕/๒๕๔๒ ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกไปแล้ว ได้ยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมีนบุรีกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหาว่า เมื่อประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๔๑ ผู้ถูกกล่าวหาได้เรียกเงินจากผู้กล่าวหาทั้งสองจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท เพื่อการช่วยเหลือจำเลย ผู้กล่าวหาทั้งสองหลงเชื่อได้มอบเงินจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา ต่อมาศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ๕ ปี ซึ่งเป็นการลงโทษตามปกติ ผู้กล่าวหาทั้งสองได้ขอเงินคืนแต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมคืนให้ ผู้กล่าวหาทั้งสองจึงยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว วินิจฉัยว่า เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐ (๑) และ ๓๓ ได้ความว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้บรรเทาผลร้ายโดยการชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่ผู้กล่าวหาทั้งสอง ซึ่งผู้กล่าวหาทั้งสองไม่ติดใจดำเนินคดีแก่ผู้ถูกกล่าวหา ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหามีกำหนด ๓ เดือน
ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ประกันของผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องว่า ผู้ถูกกล่าวหาถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔ ด้วยสาเหตุหัวใจล้มเหลว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า ผู้ประกันของผู้ถูกกล่าวหามีสำเนามรณบัตรเอกสารหมาย ร. ๑ และรายงานประจำวันเอกสารหมาย ร. ๔ เป็นพยานหลักฐาน เชื่อได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาถึงแก่ความตายจริง เมื่อผู้ถูกกล่าวหาถึงแก่ความตาย กรณีถือได้ว่าเป็นเรื่องความมรณะของผู้ถูกกล่าวหายังให้คดีไม่มีประโยชน์ต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๒ (๓) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ จึงให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา.

Share