แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ริบแร่ของผู้ร้องแล้วก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องได้ร้องขอแร่ของกลางเฉพาะส่วนของผู้ร้องคืน โดยอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดซึ่งศาลฎีกาก็ได้พิพากษาชี้ขาดแล้วว่าคำพิพากษาที่ให้ริบแร่ของกลางเฉพาะส่วนของผู้ร้องไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด และตามพระราชบัญญัติแร่ฯ ก็มีข้อบัญญัติมิให้ริบทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด จึงต้องคืนแร่ของกลางเฉพาะส่วนของผู้ร้องแก่ผู้ร้อง
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยและริบแร่ดีบุกของกลางตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องให้ริบแร่ดีบุกจำนวน 20 กระสอบส่วนแร่ดีบุกอีก 100 กระสอบ หนัก 80 หาบให้คืนเจ้าของแร่ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ริบแร่ดีบุกที่เหลือ 100 กระสอบ หนัก 80 หาบด้วย จำเลยฎีกา ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของแร่ดีบุกจำนวน100 กระสอบ หนัก 80 หาบ มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด จึงขอให้คืนแร่ดีบุกของกลางจำนวน 100 กระสอบ หนัก 80 หาบแก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ และให้รอฟังคำพิพากษาฎีกาก่อน ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืนให้ริบแร่ดีบุกของกลางทั้งหมด
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องจะเป็นเจ้าของแร่ดีบุกที่แท้จริงและถูกต้องหรือไม่โจทก์ไม่ทราบและไม่รับรอง ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอคืนของกลาง เพราะศาลฎีกาพิพากษาให้ริบเพราะเป็นของต้องริบตามกฎหมายแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดการไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในคดีเดิมนั้นผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความด้วย คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอก พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้จะปรากฏตามคำพิพากษาอันเป็นที่สุดในคดีนี้ว่าพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 10 พระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2516 มาตรา 8 บัญญัติว่า ในกรณีความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ได้กระทำโดยตัวแทนหรือลูกจ้างให้ถือว่าผู้รับใบอนุญาตเป็นตัวการกระทำผิดนั้นด้วย และให้ริบแร่ของผู้ร้องแล้วก็ตามแต่เมื่อผู้ร้องได้ร้องขอแร่ของกลางเฉพาะส่วนของผู้ร้องคืนโดยอ้างว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดศาลฎีกาก็ได้พิพากษาชี้ขาดว่าคำพิพากษาที่ให้ริบแร่ของกลางเฉพาะส่วนของผู้ร้อง ไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี ซึ่งไม่มีโอกาสนำสืบพยานโต้แย้งหรือคัดค้านพยานหลักฐานของโจทก์ ผู้ร้องจึงมีสิทธินำสืบเป็นอย่างอื่นได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขณะที่ผู้ร้องให้นายบุญช่วย ติ้วตระกูลนำแร่ดีบุกไปขายที่บริษัทจุติ จังหวัดภูเก็ต จำนวน 100 กระสอบ น้ำหนัก80 หาบ และมอบใบอนุญาตขนแร่ ใบเสร็จค่าภาคหลวงแร่ กับหนังสือกำกับแร่ไปด้วย ทั้งนี้โดยบรรทุกรถยนต์ซึ่งนายบุญพา ทองสกุล เป็นผู้ขับนั้น แร่ดีบุกยังมีจำนวน 100 กระสอบครบถ้วนถูกต้องตรงตามใบอนุญาตทุกอย่างทุกประการ นายบุญพา ทองสกุล ได้รับขนแร่ดีบุกของนายใข่ แซ่ติ๋ว อีกจำนวน20 กระสอบโดยไม่มีใบอนุญาตกำกับไปด้วย การรับขนแร่ดีบุกของนายใข่ แซ่ติ๋วจึงเป็นการกระทำนอกเหนือจากคำสั่งของผู้ร้อง เป็นการกระทำโดยพลการของนายบุญพา ทองสกุล เอง ครั้นเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับนายภิรมย์หรือพ่อ เกิดสุข จำเลยในคดีนี้มาดำเนินคดีเป็นคดีนี้ก็ไม่ปรากฏว่านายบุญช่วยติ้วตระกูล กับนายบุญพา ทองสกุล ลูกจ้างของจำเลยถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด เมื่อนายภิรมย์หรือพ่อ เกิดสุข มิใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนจำเลยจึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของนายภิรมย์หรือพ่อ เกิดสุข จำเลยในคดีนี้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของนายภิรมย์หรือพ่อ เกิดสุข ประกอบกับพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 154 พระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2516 มาตรา 39 บัญญัติมิให้ทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งไม่คืนแร่ดีบุกของกลาง เฉพาะส่วนของผู้ร้องให้แก่ผู้ร้อง ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้คืนแร่ดีบุกของกลางจำนวน 100 กระสอบ หนัก80 หาบ (เฉพาะส่วนของผู้ร้อง) แก่ผู้ร้อง