แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดเป็นความเห็นอันหนึ่งเท่านั้น หาเป็นการผูกมัดศาลให้ต้องส่งเรื่องราวไปตรวจพิสูจน์เสมอไปไม่ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่า ลายมือชื่อของจำเลยเท่าที่ปรากฏเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงปฏิเสธไม่ส่งลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลชั้นต้นตามที่เห็นสมควร การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีไปโดยไม่ได้ส่งลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองไปตรวจพิสูจน์จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ผู้กู้และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมกันชำระเงิน 409,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 250,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันตามที่โจทก์ฟ้อง แต่จำเลยที่ 2 เคยกู้ยืมเงินจากนางจำปีหรือจัมปีมารดาโจทก์และได้ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมเงินซึ่งยังไม่กรอกข้อความไว้ ส่วนจำเลยที่ 1 เคยลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินซึ่งยังไม่กรอกข้อความเมื่อนางคัมภีร์บุตรสาวจำเลยทั้งสองไปกู้ยืมเงินจากนางจำปี โดยนางจำปีให้จำเลยที่ 1 นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 304 ไปให้นางจำปียึดถือไว้เป็นประกันด้วย ต่อมานางคัมภีร์ผ่อนชำระหนี้ให้นางจำปีบางส่วน แต่นางคัมภีร์เห็นว่าโจทก์และนางจำปีเอาเปรียบจึงไม่ชำระหนี้ส่วนที่เหลือ และจำเลยที่ 1 ได้ทวงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวคืน แต่ไม่มีการคืนให้ โจทก์นำเอาสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้มากรอกข้อความเอง จึงเป็นเอกสารปลอม จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่กู้ยืมเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนฟ้องให้คิดเพียง 4 ปี 3 เดือน และไม่เกิน 159,375 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ดังกล่าวแทน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาประการแรกว่า จำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงินและจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีตัวโจทก์และนางสาวจำลองลักษณ์พี่โจทก์เบิกความเป็นใจความว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2539 จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 250,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงิน และจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 304 ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันการกู้ยืม และศาลฎีกาได้ตรวจเปรียบเทียบลายมือชื่อในช่องผู้กู้กับลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ในบันทึกคำเบิกความและรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 15 ตุลาคม 2544 และลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในบันทึกคำเบิกความและรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 29 เมษายน 2545 แล้ว มีลักษณะลายเส้น ลีลาการเขียนตัวอักษร และช่องไฟคล้ายคลึงกันมาก จำเลยที่ 2 ไม่ได้นำสืบปฏิเสธชัดเจนว่าเป็นลายมือชื่อปลอม ประกอบกับจำเลยที่ 2 นำสืบเจือสมกับคำเบิกความของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ได้เห็นลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน แล้วคล้ายกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 อีกประการหนึ่งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 2 ได้มอบหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ไว้ หากจำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันจริง น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 คงจะไม่มอบหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ไว้เป็นแน่ ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า จำเลยที่ 1 มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นประกันหนี้ของบุตรสาวจำเลยทั้งสองจึงเป็นพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงิน และจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันจริง
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินจำนวนตามฟ้อง และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้จำนวนตามฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้โจทก์กับนางสาวจำลองลักษณ์เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ได้รับเงินที่กู้ยืมจากโจทก์ไปจำนวน 250,000 บาท จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาค้ำประกันประกอบกับจำเลยที่ 1 ได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์มอบแก่โจทก์เป็นประกันการชำระหนี้ด้วย ซึ่งข้อนี้จำเลยทั้งสองนำสืบว่าบุตรสาวจำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินมารดาโจทก์จำนวน 10,000 บาท จำเลยที่ 1 จึงนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวไปมอบไว้แก่โจทก์บุตรสาวจำเลยทั้งสองชำระหนี้ไปบ้างแล้วแต่เห็นว่าโจทก์เอาเปรียบจึงไม่ชำระหนี้ที่ค้างชำระอีก จำเลยที่ 1 ได้ขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์คืนแต่โจทก์ไม่คืนให้ จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ เห็นว่า ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าบุตรสาวจำเลยทั้งสองเป็นผู้กู้ยืมเงินโจทก์แต่เหตุใดจึงให้จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินซึ่งผิดไปจากเหตุผลธรรมดาทั่วไปเป็นพิรุธประการหนึ่ง ประกอบกับหลักฐานที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าบุตรสาวจำเลยทั้งสองเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าจากมารดาโจทก์และมารดาโจทก์นำเอาหนี้ดังกล่าวมารวมเป็นหนี้รายนี้ก็ล้วนเป็นเอกสารที่บุตรสาวจำเลยทั้งสองทำขึ้นฝ่ายเดียว โจทก์ไม่ได้ยอมรับหรือรับรู้ ทั้งเมื่อโจทก์ไม่ยอมคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเป็นพิรุธอีกประการหนึ่งเช่นนี้พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินและรับเงินจากโจทก์จำนวน 250,000 บาท และได้ทำสัญญากู้ยืมเงินไว้โดยมีการกรอกข้อความครบถ้วน และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาในข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาอีกประการหนึ่งในทำนองว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยทั้งสองต่อสู้คดีว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่ได้ค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 หากแต่โจทก์ร่วมมือกับบุคคลอื่นนำเอาสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันไปกรอกข้อความโดยจำเลยทั้งสองไม่ยินยอมนั้น เมื่อตรวจคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แล้ว เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้พิจารณาและเชื่อตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้จริง จึงเป็นการพิพากษาในประเด็นที่จำเลยทั้งสองต่อสู้คดีไว้แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาอีกประการหนึ่งว่า ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ส่งลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองในสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 และ จ.3 ไปให้กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจพิสูจน์ว่าเป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดเป็นความเห็นอันหนึ่งเท่านั้น หาเป็นการผูกมัดศาลให้ต้องส่งเรื่องราวไปตรวจพิสูจน์เสมอไปไม่ เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองเท่าที่ปรากฏเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงปฏิเสธไม่ส่งลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองไปตรวจพิสูจน์ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลชั้นต้นตามที่เห็นสมควร การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีไปโดยไม่ได้ส่งลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองไปตรวจพิสูจน์จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน