แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์และ ช. ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามฟ้องในฐานะเจ้าของอันถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินตั้งแต่ปี 2504 การที่โจทก์เพิ่งมาขอออกโฉนดที่ดินแทนแบบแจ้งการครอบครองในปี 2536 เป็นเพียงการที่โจทก์เปลี่ยนแปลงหลักฐานการถือสิทธิในที่ดิน จะถือว่าโจทก์เพิ่งได้มาซึ่งที่ดินตามฟ้องในวันที่ออกโฉนดได้ไม่ การที่โจทก์และ ช. โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องให้แก่บุคคลอื่น จึงไม่เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 3 (6) แห่ง พ.ร.ฎ.ออกตามความใน ป.รัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244)ฯ อันจะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2504 นายชะโอดสามีโจทก์ซื้อที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เลขที่ 191 ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ จากนางอ่อนแล้วโจทก์กับนายชะโอดได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ต่อมาวันที่ 2 เมษายน 2536 โจทก์และนายชะโอดออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวในนามของโจทก์และนายชะโอด จากนั้นวันที่ 27 สิงหาคม 2536 โจทก์และนายชะโอดได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น ต่อมาจำเลยได้แจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนสิงหาคม 2536 ว่าโจทก์มีรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 12,279,000 บาท รวมเป็นภาษีเงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่น ที่ต้องชำระ 810,414 บาท โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยเนื่องจากโจทก์และนายชะโอดครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวติดต่อกันมาเป็นเวลา 32 ปีเศษ จึงไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ. 73.1) เลขที่ 05111041/6/100222 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2546 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ (ภ.ส. 7) เลขที่ สภ. 5 สป. 2/22/2547 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2547
จำเลยให้การว่า จำเลยตรวจสอบพบว่าการที่โจทก์และนายชะโอดขายที่ดินตามฟ้องให้แก่บริษัทจักราชัย จำกัด เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2536 ไม่ปรากฏการได้มาและระยะเวลาที่ถือครองที่ดินของฝ่ายโจทก์ จำเลยจึงมีหนังสือขอเชิญโจทก์และนายชะโอดมาพบแต่ไม่สามารถติดต่อได้และทราบว่านายชะโอดถึงแก่ความตายแล้วเมื่อปี 2543 และยังพบว่าแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เลขที่ 191 มีชื่อนายประมุขและนางอ่อนเป็นผู้ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2498 ไม่ปรากฏว่าโจทก์และนายชะโอดเป็นผู้ครอบครองแต่อย่างใด ถือว่าโจทก์และนายชะโอดครอบครองที่ดินตามฟ้องเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2536 ซึ่งเป็นวันที่ออกโฉนดที่ดิน เมื่อโจทก์ขายที่ดินไปภายใน 5 ปีนับแต่ได้มา ถือเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางการค้าหรือหากำไรตามมาตรา 3 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2536 การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ เลขที่ 05111041/6/100222 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2546 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เลขที่ สภ. 5 สป. 2/22/2547 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2547
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่อุทธรณ์โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อปี 2498 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับนายชะโอด ต่อมาปี 2543 นายชะโอดถึงแก่ความตาย สำหรับที่ดินตามฟ้องเดิมมีหลักฐานการครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เลขที่ 191 ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ มีชื่อนายประมุขและนางอ่อนเป็นผู้ครอบครองที่ดิน แต่ต่อมาได้มีการออกโฉนดที่ดินแทนแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค. 1 ให้แก่โจทก์และนายชะโอดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 754 ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเดือนสิงหาคม 2536 สำหรับการขายที่ดินตามฟ้องในฐานะโจทก์เป็นบุคคลในคณะบุคคลโดยโจทก์และนายชะโอด ให้ชำระภาษีเงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่นรวม 810,414 บาท โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินว่าโจทก์และนายชะโอดได้สิทธิครอบครองในที่ดินตามฟ้อง โดยซื้อมาจากนางอ่อนตั้งแต่ปี 2504 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ กรณีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่โจทก์และนายชะโอดโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่บุคคลอื่นเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้กระทำภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 3 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 และอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่ ประเด็นนี้โจทก์มีตัวโจทก์มาเบิกความว่าเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2504 นายชะโอดซื้อที่ดินตามฟ้องจากนายอ่อนแล้ว โจทก์กับนายชะโอดได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ร่วมกัน ต่อมาปี 2509 ทางราชการได้สำรวจที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่โดยระบุว่าเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค. 1 เลขที่ 191 ตามฟ้องคือนายชะโอด โจทก์กับนายชะโอดทำสวนมะพร้าวในที่ดินตามฟ้องจนถึงปี 2515 จึงเปลี่ยนไปทำสวนกล้วยไม้และให้นายพัฒน์เช่าที่ดินดังกล่าวทำสวนมะพร้าวต่อไป ต่อมาโจทก์กับนายชะโอดติดต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกโฉนด ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดและออกโฉนดที่ดินให้แก่ที่ดินตามฟ้องเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 754 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2536 จากนั้นวันที่ 27 สิงหาคม 2536 โจทก์และนายชะโอดได้จดทะเบียนโอนที่ดินตามฟ้องให้แก่บุคคลอื่น เห็นว่า แม้โจทก์จะมีตัวโจทก์มาเบิกความเพียงปากเดียวแต่โจทก์มีสัญญาซื้อขายและแบบสำรวจเนื้อที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2509 ถึงปี 2512 ที่ระบุว่าในการสำรวจที่ดินของทางราชการพบว่าที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค. 1 เลขที่ 191 ทำสวนมะพร้าว และผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ คือนายชะโอด ซึ่งเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว จำเลยไม่ได้โต้แย้งความถูกต้องและไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น นอกจากนี้พยานจำเลยปากนางสาวนิตยาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของจำเลยที่มีหน้าที่ตรวจพิจารณาอุทธรณ์ยังเบิกความเจือสมคำเบิกความของโจทก์ว่าในชั้นตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเอกสารหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนประกอบคำให้การของโจทก์และคำให้การของนายมนตรีซึ่งอ้างว่าเป็นบุตรของนางอ่อนได้ความโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2504 นายชะโอดซื้อที่ดินตามฟ้องมาจากนางอ่อน จากนั้นโจทก์และนายชะโอดได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา รวมระยะเวลาที่ครอบครองจนถึงวันขายที่ดินให้แก่บุคคลอื่นนานกว่า 30 ปี นางสาวนิตยาจึงทำความเห็นควรปลดภาษีตามการประเมินเสียทั้งสิ้น คำเบิกความของโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า โจทก์และนายชะโอดได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามฟ้อง ในฐานะเจ้าของอันถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินตั้งแต่ปี 2504 ส่วนที่จำเลยนำสืบอ้างแต่เพียงว่า เมื่อไม่มีเอกสารใดมายืนยันว่าโจทก์และนายชะโอดได้สิทธิครอบครองตั้งแต่เมื่อใดให้ถือวันที่ออกโฉนดที่ดินเป็นวันที่ได้มาซึ่งที่ดินนั้น เห็นว่า การที่โจทก์และนายชะโอดเพิ่งมาขอออกโฉนดที่ดินแทนแบบแจ้งการครอบครองในปี 2536 เป็นเพียงการที่โจทก์เปลี่ยนแปลงหลักฐานการถือสิทธิในที่ดินจากแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค. 1 เดิมมาเป็นโฉนดที่ดิน จะถือว่าโจทก์เพิ่งได้มาซึ่งที่ดินตามฟ้องในวันที่ออกโฉนดที่ดินดังที่จำเลยนำสืบหามีเหตุผลให้รับฟังได้ไม่ ดังนั้น การที่โจทก์และนายชะโอดโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องให้แก่บุคคลอื่นจึงไม่เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร ตามมาตรา 3 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 อันจะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน