แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยพูดขอเช่าที่พิพาทกับผู้แทนโจทก์มีกำหนด 10 ปีผู้แทนโจทก์รับว่าจะให้เช่าเป็นเวลา 10 ปีตามขอแต่ให้รอการแบ่งแยกที่ดินมรดกกันเสียก่อน เมื่อรู้ว่าตกเป็นของใครจึงจะค่อยทำสัญญาเช่ากันต่อไป จำเลยเชื่อว่าจะได้เช่ามีกำหนด 10 ปี จึงลงทุนปรับพื้นที่ซึ่งเป็นหลุมบ่อและสร้างเขื่อนริมคลอง ดังนี้ การที่จำเลยกระทำดังนั้นก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยเอง ไม่ได้เป็นข้อตกลงหรือข้อเรียกร้องจากฝ่ายเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด ตามพฤติการณ์จึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนตามกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาตซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้อื่นในที่ดินโฉนดที่ 4126 จำเลยได้เช่าที่ดินที่ว่างส่วนหนึ่งเลขโฉนดดังกล่าวจากผู้แทนเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมให้เพื่อให้เช่าช่วงวางสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่มีกำหนดเวลา ค่าเช่าเดือนละ2,500 บาท จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าเดือนพฤษภาคม 2503 ติดต่อกันมาหลายเดือน จนกระทั่งที่ดินแปลงที่จำเลยเช่าตกเป็นของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ ผู้เดียวซึ่งแยกออกเป็นโฉนดใหม่เลขที่ 8772 โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่า ให้ส่งมอบที่ดินคืนจำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน 94,500 บาท ขอให้ขับไล่กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ฯลฯ
จำเลยให้การว่า ได้พูดทำความเข้าใจกับสำนักงานเทพศรีหริคว่าจะขอเช่า 10 ปี โดยขอให้จดทะเบียนการเช่าสำนักงานชี้แจงว่าที่ดินทั้งหมดยังไม่ได้แบ่งแก่ทายาท ยังทำสัญญาเช่าไม่ได้รอไว้เมื่อที่เช่าได้แบ่งเป็นของทายาทคนใดแล้วจึงค่อยทำ โดยเจ้าของคงไม่บอกเลิกการเช่า ในชั้นนี้ให้จำเลยปลูกสร้างไปโดยเสียค่าเช่า6 เดือนแรกเดือนละ 1,000 บาทต่อไปเดือนละ 2,500 บาท จำเลยจึงได้ลงทุนสร้างสิ้นเงิน 229,600 บาท ค่าเช่าเดือนพฤษภาคม 2503 ถึงมิถุนายน 2504 จำเลยชำระแล้ว ส่วนค่าเช่าต่อจากนั้นโจทก์ไม่ยอมรับเอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ของโจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,500 บาท ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2504 เป็นต้นไป
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหายเป็นให้จำเลยใช้ให้โจทก์เดือนละ 8,000 บาท
จำเลยฎีกาฝ่ายเดียว
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาข้อ 1 ที่จำเลยกล่าวว่าการเช่าที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนนั้น จำเลยนำสืบว่าเมื่อจำเลยไปพูดขอเช่ากับผู้แทนโจทก์นั้น จะขอเช่ามีกำหนด 10 ปี เพราะจะต้องลงทุนก่อสร้างเป็นจำนวนมากผู้แทนโจทก์รับว่าจะให้เช่าเป็นเวลา10 ปีตามขอ แต่ให้รอการแบ่งแยกที่ดินมรดกเสียก่อน เมื่อรู้ว่าตกเป็นของใครจึงค่อยทำสัญญาเช่ากันต่อไป จำเลยเชื่อว่าคงจะได้เช่ามีกำหนด 10 ปี จึงลงทุนปรับพื้นที่ซึ่งเป็นหลุมบ่อและสร้างเขื่อนริมคลอง ฯลฯ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยทำดังนั้นก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยเอง ไม่ได้เป็นข้อตกลงหรือข้อเรียกร้องจากฝ่ายเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าตามพฤติการณ์ที่ได้ความนั้นไม่มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนตามกฎหมายนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
นอกจากนี้ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยได้รับทราบการบอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว และที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 8,000 บาทนั้นก็เห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน