แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วไล่ติดตามชนรถจักรยานยนต์ 3 คัน ของฝ่ายผู้เสียหายโดยขับไล่ชนทีละคัน คันแรก ฟ. หลบหนีลงข้างทางได้ทัน จึงหันมาไล่ชนรถจักรยานยนต์ของ ส. เมื่อ ส. ขับหนีเข้าซอยไปได้ ก็หันมาไล่ชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซึ่งหนีไม่ทันถูกชนท้ายรถจนผู้เสียหายกระเด็นตกจากรถจักรยานยนต์ส่วนรถจักรยานยนต์กระเด็นกระแทกจนถังน้ำมันรั่วมีรอยน้ำมันหกไปตามทางที่รถจักรยานยนต์ไถลไป ส่วนผู้เสียหายตกจากรถแล้วกระเด็นข้ามไปอยู่ในช่องเดินรถสวนอย่างเร็วจนรถแท็กซี่ที่สวนมาห้ามล้อไม่ทันเฉี่ยวชนซ้ำอีก พฤติการณ์ที่จำเลยขับรถติดตามรถจักรยานยนต์ฝ่ายผู้เสียหายมาอย่างกระชั้นชิดด้วยความเร็วและไล่ชนทีละคันเมื่อไล่ทันรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายก็พุ่งชนอย่างแรง ซึ่งรถจำเลยมีขนาดและแรงปะทะมากกว่ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้เมื่อชนแล้วจำเลยยังลงจากรถพร้อมถือมีดเหวี่ยงไปมาทำท่าไล่ฟันผู้เสียหายจนต้องรีบพยุงกันหนีขึ้นรถแท็กซี่ไปทันที แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391, 295 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์ไล่ตามรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายทั้งสอง แล้วรถยนต์ของจำเลยเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายทั้งสอง จนผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บและได้รับอันตรายสาหัส คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิเคราะห์แผนที่เกิดเหตุ และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าร้อยตำรวจโทศรีระนอง พนักงานสอบสวนออกมาตรวจที่เกิดเหตุหลังเกิดเหตุเพียง 15 นาที ก็พบร่องรอยห้ามล้อยาวประมาณ 35 เมตร สุดรอยห้ามล้อต่อเนื่องเป็นร่องรอยคราบน้ำมันจากรถจักรยานยนต์ สุดรอยคราบน้ำมันเป็นรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ปยค กรุงเทพมหานคร 133 ของผู้เสียหายทั้งสองล้มตะแคงติดอยู่กับกำแพงหมู่บ้านนารารมย์ ซึ่งในแผนที่เกิดเหตุและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ พนักงานสอบสวนไม่ได้ระบุจุดชนว่า จุดชนอยู่ก่อนรอยห้ามล้อตามที่ผู้เสียหายทั้งสองอ้างหรืออยู่หลังรอยห้ามล้อตามที่จำเลยอ้างทั้งไม่มีเศษวัสดุแตกหักตกหล่นบนถนนอันจะบอกจุดชนได้ แต่ปรากฏว่าความเสียหายของรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ปยค กรุงเทพมหานคร 133 ของผู้เสียหายทั้งสองซึ่งพบในที่เกิดเหตุพนักงานสอบสวนบันทึกไว้ว่า “รถจักรยานยนต์ทะเบียน ปยค 133 กทม ถูกชนทางด้านท้ายแล้วกระเด็นออกขวาไปติดกำแพงหมู่บ้านนารารมย์” แสดงว่ารถจักรยานยนต์มีร่องรอยถูกชนทางด้านท้ายรถจริง ดังนั้นหากเป็นดังที่จำเลยเบิกความว่ารถจักรยานยนต์ล้มลงไปเอง จำเลยห้ามล้อไม่อยู่จึงชน ร่องรอยการชนย่อมไม่ปรากฏที่ด้านท้ายรถ การที่มีรอยถูกชนด้านท้ายรถแสดงว่าจำเลยชนเข้าที่ท้ายรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายทั้งสองขณะที่รถกำลังแล่นอยู่ และไม่ใช่จำเลยห้ามล้อแล้วจึงชน แต่เป็นเรื่องที่จำเลยชนอย่างแรงเป็นเหตุให้รถของตนเสียหลัก จำเลยจึงได้ห้ามล้อแล้วเบี่ยงหลบไปคนละทางกับวัตถุที่ตนชน เมื่อรถจักรยานยนต์กระเด็นไปทางขวา จำเลยจึงหลบไปทางซ้ายแล้วจึงปะทะเข้ากับรถกระบะที่จอดอยู่ทางซ้าย 2 คัน ตามสภาพที่พนักงานสอบสวนระบุในแผนที่เกิดเหตุว่า “รถยนต์เก๋งนิสสันซึ่งเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์แล้วออกซ้ายไปชนกับรถกระบะนิสสันสีน้ำเงิน บค 1376 อำนาจเจริญ และกระเด็นไปติดอยู่ที่ด้านท้ายรถยนต์กระบะนิสสันสีบรอนเงินทะเบียน ยน 8384 กทม ได้รับความเสียหายติดอยู่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้” สภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงสอดคล้องกับคำพยานโจทก์ และขัดกับทางนำสืบของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วไล่ติดตามชนรถจักรยานยนต์ 3 คัน ของฝ่ายผู้เสียหายทั้งสอง โดยขับไล่ชนทีละคัน คันแรกนายเฟยหลบหนีลงข้างทางได้ทัน จึงหันมาไล่ชนรถจักรยานยนต์นายสุรัตน์ เมื่อนายสุรัตน์ขับหนีเข้าซอยไปได้ ก็หันมาไล่ชนรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายทั้งสองซึ่งหนีไม่ทันถูกชนท้ายรถจนผู้เสียหายทั้งสองกระเด็นตกจากรถจักรยานยนต์ ส่วนรถจักรยานยนต์กระเด็นตกกระแทกจนถังน้ำมันรั่วมีรอยน้ำมันหกไปตามทางที่รถจักรยานยนต์ไถลไป ส่วนผู้เสียหายทั้งสองตกจากรถแล้วกระเด็นข้ามไปอยู่ในช่องเดินรถสวนอย่างเร็วจนรถแท็กซี่ที่สวนทางมาห้ามล้อไม่ทันเฉี่ยวชนซ้ำเข้าไปอีก ซึ่งพบหลักฐานเป็นกระจังหน้าบางส่วนหลุดตกอยู่ในที่เกิดเหตุ พฤติการณ์ที่จำเลยขับรถติดตามรถจักรยานยนต์ฝ่ายผู้เสียหายทั้งสองมาอย่างกระชั้นชิดด้วยความเร็วและไล่ชนทีละคัน เมื่อไล่ทันรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายทั้งสองก็พุ่งชนอย่างแรง ซึ่งรถจำเลยมีขนาดและแรงปะทะมากกว่ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายทั้งสองถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้ เมื่อชนแล้วจำเลยยังลงจากรถพร้อมถือมีดเหวี่ยงไปมาทำท่าไล่ฟันผู้เสียหายทั้งสองจนต้องรีบพยุงกันหนีขึ้นรถแท็กซี่ไปทันที แม้จำเลยจะปฏิเสธว่าจำเลยถือวิทยุสื่อสาร ไม่ใช่มีด แต่พฤติการณ์ที่ผู้เสียหายทั้งสองรีบหนีขึ้นรถแท็กซี่ในลักษณะรีบร้อน ฉุกละหุก ผิดวิสัยที่จะเป็นเรื่องรถชนกันธรรมดา น่าเชื่อว่าจำเลยถือมีดมาแล้ววิ่งไล่ฟันผู้เสียหายทั้งสองจริง ทำให้ฟังหนักแน่นขึ้นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยห้ามล้อรถก่อนเพื่อไม่ให้ชนอย่างรุนแรง เพราะมีเพียงเจตนาทำร้าย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น