แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ผู้ให้กู้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ19ต่อปีได้ระบุจำนวนดอกเบี้ยไว้ในสัญญากู้เงินโดยแจ้งชัดให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราดังกล่าวการคิดดอกเบี้ยของโจทก์นี้จึงเข้าลักษณะเป็นดอกผลนิตินัยที่โจทก์พึงได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา148วรรคสามกรณีหาใช่เป็นเรื่องที่ลูกหนี้สัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรเมื่อลูกหนี้ผิดนัดอันจะถือว่าเป็นเบี้ยปรับซึ่งศาลลดจำนวนลงดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ19ต่อปีตามสำเนากู้เงินเป็นเบี้ยปรับนั้นจึงไม่ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ โดยเอาห้องชุดเลขที่ 59/293 ชั้นที่ 4 อาคารเลขที่ บี อาคารชุดชื่อ”ศรีเมืองแมนชั่น” จดทะเบียนจำนองเป็นประกัน บัดนี้จำเลยผิดนัดโดยค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ย โจทก์ทวงถามและแจ้งบังคับจำนองแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน302,398.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 251,342.41 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ออกแทนจำเลย3 ปี ต่อครั้ง ครั้งละ 1,551 บาท นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2540ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดนำเงินมาชำระจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 302,398.16 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 251,342.41 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยตามจำนวนที่โจทก์จ่ายไปจริง 3 ปี ต่อครั้งครั้งละไม่เกิน 1,551 บาท นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2540 ไปจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จ หากไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 59/293 ชั้นที่ 4 อาคารเลขที่ บี อาคารชุดชื่อ”ศรีเมืองแมนชั่น” ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 27030ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดจนกว่าจะชำระหนี้จนครบ
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 248,000 บาท ตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4ต่อมาจำเลยผิดนัดและค้างชำระต้นเงินถึงวันฟ้องจำนวน 251,342.41 บาทดอกเบี้ยจำนวน 51,055.75 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 302,398.16 บาทจำเลยต้องรับผิดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีนี้แล้วกำหนดให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงิน 251,342.41 บาท จากจำเลยนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยไม่ให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีนี้ว่าประกาศกระทรวงการคลังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โจทก์มิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้ปรากฏว่าในระยะเวลาจากวันฟ้องได้มีประกาศกระทรวงการคลังให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมอัตราสูงสุดซึ่งไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี แต่อย่างใด ส่วนประกาศกระทรวงการคลังตามสำเนาประกาศกระทรวงการคลังเอกสารหมาย จ.9เป็นเพียงประกาศกำหนดให้โจทก์เป็นสถาบันการเงินมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้เป็นพิเศษตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเท่านั้น จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ถึงอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ที่ศาลชั้นต้นกำหนดดอกเบี้ยจากวันฟ้องอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เหมาะสมแล้วนั้น เห็นว่า คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ19 ต่อปี เพราะกำหนดอัตราดอกเบี้ย มิใช่เบี้ยปรับหรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เพราะมิได้นำสืบไว้โดยคู่ความมิได้อุทธรณ์หรือยื่นคำแก้อุทธรณ์ไว้ และมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการวินิจฉัยคดีที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์มิได้นำสืบว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แล้วพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยมิได้วินิจฉัยว่า การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 เป็นเบี้ยปรับหรือไม่ จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเห็นว่า โจทก์มีนายอัครพล หริ่งรอด ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยตามสำเนาประกาศกระทรวงการคลัง เอกสารหมาย จ.9ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ19 ต่อปีได้ จึงมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่าการที่โจทก์ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เป็นเบี้ยปรับหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ผู้ให้กู้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ได้ระบุจำนวนดอกเบี้ยไว้ในสัญญากู้เงินโดยแจ้งชัดตามเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 1ให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราดังกล่าว การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ดังกล่าว จึงเข้าลักษณะเป็นดอกผลนิตินัยที่โจทก์พึงได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 วรรคสาม กรณีหาใช่เป็นเรื่องที่ลูกหนี้สัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร เมื่อลูกหนี้ผิดนัด อันจะถือว่าเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งศาลลดจำนวนดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีตามสำเนากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 เป็นเบี้ยปรับนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 251,342.41 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 22 มีนาคม2538) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์