แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางนั้นทนายจำเลยได้มาศาลและลงชื่อรับรองความถูกต้องไว้โดยมิได้ติดใจโต้แย้งในขณะนั้นหรือในระยะเวลาต่อมาตามที่กฎหมายกำหนดขอให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเพิ่มเติมแต่ประการใดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงเป็นยุติตามที่ศาลแรงงานกลางกำหนดจำเลยไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นอุทธรณ์ว่ากล่าวอีกและปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ว่าพ.เป็นเพียงพนักงานของโจทก์มิใช่กรรมการดำเนินการของโจทก์ที่จะมีอำนาจดำเนินการแทนโจทก์นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ปรากฏในคำให้การของจำเลยจึงไม่อาจตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีได้ดังนี้ปัญหาที่จำเลยอาศัยอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องต่อไปอีกว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นจึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฟ้องโจทก์ระบุชัดแจ้งว่าจำเลยในฐานะลูกจ้างได้ยืมเงินทดรองจ่ายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติงานของนายจ้างคือโจทก์แม้หักใช้ไม่ครบก็เป็นการเรียกหนี้เงินที่จำเลยยืมไปคืนตามความผูกพันซึ่งเกิดจากสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจำเลยอันมีกำหนดอายุความ10ปีฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมและมิใช่เรื่องละเมิดหรือลาภมิควรได้คดีจึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินกิจการ และเป็นผู้แทนโจทก์ในกิจการเกี่ยวกับบุคคลภายนอก ในการฟ้องและดำเนินคดีนี้ คณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ได้มีมติให้ฟ้องและดำเนินคดีแก่จำเลยตามรายงานการประชุมเอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 จำเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งหัวหน้าแผนกบุคลากรและนิติกร เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2536 และวันที่ 5 กันยายน 2537จำเลยยืมเงินทดรองจากโจทก์จำนวน 150,000 บาท และ 10,000 บาทตามลำดับ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน ซึ่งตามระเบียบของโจทก์จำเลยต้องชำระเงินคืนภายใน 7 วัน ตามระเบียบเอกสารท้ายฟ้องหมาย 3 ต่อมาจำเลยคืนเงินให้โจทก์เพียง 54,352.66 บาทคงค้างอีก 105,647.34 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน126,292.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงิน105,647.34 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะรายงานการประชุมไม่ปรากฏว่าได้มีมติมอบหมายให้ผู้ใดเป็นผู้แทนในการดำเนินคดีแทนโจทก์เพียงแต่ระบุให้สรรหาทนายความในการดำเนินคดีเท่านั้นกับโจทก์ไม่บรรยายว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่บกพร่องอย่างไรทั้งเงินที่ยืมไปก็ใช้ในกิจการของโจทก์ จึงไม่มีตัวเงินที่จะต้องส่งคืน ทำให้จำเลยไม่สามารถเข้าใจข้อหาได้ดีว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม และโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเวลาเกินกว่า 2 ปีแล้ว นับแต่จำเลยรับเงินไปจากโจทก์ จึงขาดอายุความ ทั้งจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนที่กล่าวอ้างในฟ้อง โจทก์ไม่ได้ตรวจสอบใบสำคัญจ่ายเงินยืมทดรองและหลักฐานใบสำคัญหักล้างทางบัญชีโดยถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงิน 105,647.34 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในปัญหาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลางหรือไม่ เป็นการไม่ชอบนั้น ปรากฏว่าในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2539นั้น ทนายจำเลยได้มาศาลและลงชื่อรับรองความถูกต้องไว้โดยมิได้ติดใจโต้แย้งในขณะนั้นหรือในระยะเวลาต่อมาตามที่กฎหมายกำหนดขอให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเพิ่มเติมแต่ประการใดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงเป็นยุติตามที่ศาลแรงงานกลางกำหนดดังกล่าว จำเลยไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นอุทธรณ์ว่ากล่าวอีกและปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ว่า นายพิทพงศ์ สกุลมีฤทธิ์ เป็นเพียงพนักงานของโจทก์มิใช่กรรมการดำเนินการของโจทก์ที่จะมีอำนาจดำเนินการแทนโจทก์นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ปรากฏในคำให้การของจำเลยจึงไม่อาจตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีได้ ดังนี้ ปัญหาที่จำเลยอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องต่อไปอีกว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความเนื่องจากเป็นเรื่องละเมิดหรือลาภมิควรได้นั้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ระบุชัดแจ้งว่าจำเลยในฐานะลูกจ้างได้ยืมเงินทดรองจ่ายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติงานของนายจ้างคือโจทก์แม้หักใช้ไม่ครบก็เป็นการเรียกหนี้เงินที่จำเลยยืมไปคืนตามความผูกพันซึ่งเกิดจากสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจำเลยอันมีกำหนดอายุความ 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และมิใช่เรื่องละเมิดหรือลาภมิควรได้ คดีจึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน