คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1632/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่โจทก์ฟ้องบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยซึ่งได้จำนองไว้เป็นประกันการชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท พ.ตามสัญญาจำนองที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ แม้บริษัท พ. ถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายและโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่บริษัท พ. เป็นหนี้โจทก์ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายนั้นแล้ว แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้ดังกล่าวจากทรัพย์สินของบริษัท พ. จำเลยก็ยังคงมีความผูกพันตามสัญญาจำนองที่ได้ทำไว้กับโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับจำนองแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 728 จำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันกับโจทก์ยอมรับผิดใช้ต้นเงินที่บริษัท พ. เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ไม่เกินจำนวนเงิน3,670,000 บาท แต่บริษัท พ. ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์สำหรับจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีไปและหนังสือสัญญาจำนองก็มีข้อความระบุเช่นเดียวกันว่า จำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในการจำนองที่ดินเป็นประกันการกู้เงินเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท พ. และถ้าผู้จำนองหรือลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้เป็นเหตุให้ผู้รับจำนองได้รับความเสียหาย ผู้จำนองยอมรับผิดชอบชดใช้เงินต้นพร้อมทั้งดอกเบี้ย ดังนั้นเมื่อบริษัทพ.ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ จำเลยซึ่งเป็นผู้จำนองเป็นประกันก็จะต้องรับผิดชำระเงินต้น 3,670,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จำนวน 2 ฉบับ รวมเป็นวงเงินเบิกเกินบัญชีทั้งสิ้น 3,670,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ13.5 ต่อปี มีข้อตกลงว่า บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด จะชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ทุกวันสิ้นเดือน หากไม่ชำระดอกเบี้ยตามอัตราและตามกำหนดในสัญญา ยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับจำนวนเงินที่เบิกเงินเกินบัญชีได้ทันทีที่ค้างชำระเป็นคราว ๆ ไป และให้ดอกเบี้ยที่ทบเข้ากับเงินเบิกเกินบัญชีดังกล่าวเป็นเงินเบิกเกินบัญชีซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราเดียวกัน และมีกำหนดเวลาชำระอย่างเดียวกัน ต่อมาโจทก์ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินของบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด จากเดิมร้อยละ 13.5 ต่อปีเป็นร้อยละ 15 ต่อปีตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2522 จากร้อยละ 15ต่อปี เป็นร้อยละ 18 ต่อปีตั้งแต่ 15 มกราคม 2523 จากร้อยละ 18ต่อปี เป็นร้อยละ 19 ต่อปีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2524 และลดอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 19 ต่อปีเป็นร้อยละ 17.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่29 มีนาคม 2526 เป็นต้นไปจนถึงปัจจุบัน จำเลยได้นำโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยคือที่ดินโฉนดเลขที่18249, 13715, 17237, 17238, 17957, 18241, 18243 และ 18534ถึง 18538 รวม 12 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองและขึ้นเงินจำนอง เป็นวงเงินจำนองทั้งสิ้น 3,670,000 บาท โดยมีข้อตกลงด้วยว่า เมื่อบังคับจำนอง หากเงินที่ได้รับน้อยกว่าหนี้ที่บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด เป็นหนี้โจทก์อยู่ จำเลยยอมรับผิดใช้เงินที่ขาดจำนวนนั้นจนครบ นับตั้งแต่ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ได้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ตลอดมาแต่บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ไม่ได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนทุก ๆ เดือนตามสัญญา โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยทบต้นในจำนวนเงินที่บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด เป็นหนี้โจทก์ คิดถึงวันที่ 12 เมษายน 2528 เป็นเงิน 11,333,621.67 บาทศาลได้มีคำพิพากษาให้บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ล้มละลายเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2529 บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด มิได้ชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระดังกล่าวให้แก่โจทก์โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้หลายครั้งแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดและไถ่ถอนจำนองแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 14,224,471.47 บาทให้โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีของต้นเงิน11,333,621.67 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้โจทก์จนครบ ถ้าไม่พอยังขาดอยู่เท่าใดให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า จำเลยมีความรับผิดตามสัญญาจำนองและบันทึกข้อตกลงขึ้นเงินจำนองเป็นประกันรวมเป็นวงเงินจำนวนทั้งสิ้น3,670,000 บาทเท่านั้น มิใช่ไม่จำกัดจำนวน โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลย เพราะบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลาย อำนาจหน้าที่ในการจัดการทรัพย์สินของบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ลูกหนี้ผู้ล้มละลายเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,670,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี โดยวิธีทบต้นตามประเพณีธนาคารนับแต่วันที่ 22 กันยายน 2521 ถึงวันที่ 20 เมษายน2522 ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับต่อจากนั้นไปจนถึงวันที่15 มกราคม 2523 ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับต่อจากนั้นไปจนถึงวันที่ 26 มกราคม 2524 และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ18 ต่อปีโดยไม่ทบต้น นับแต่วันที่ 27 มกราคม 2524 ถึงวันที่ 1กรกฎาคม 2524 ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับต่อจากนั้นไปจนถึงวันที่ 29 มีนาคม 2526 และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับต่อจากนั้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ชำระให้เอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้ให้โจทก์หากขายทอดตลาดได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้โจทก์จนครบ จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 3,670,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี โดยวิธีทบต้นตามประเพณีธนาคารนับตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2521 ถึงวันที่ 26 มกราคม 2524และให้คิดในอัตราเดียวกันนี้ต่อจากนั้นโดยไม่ทบต้นจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลล่างซึ่งไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2521 บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน 1,700,000 บาท และ1,970,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ13.5 ต่อปี หากค้างชำระดอกเบี้ยยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยมาทบเป็นต้นเงินได้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4จำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 18249 ตำบลมีนบุรี (แสนแสบ)อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2519 ในวงเงิน1,000,000 บาท ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.5 และข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกันเอกสารหมายจ.6 และนำที่ดินโฉนดเลขที่ 13715, 17237, 17238, 17957, 18241,18243 และ 18534 ถึง 18538 ตำบลมีนบุรี (แสนแสบ) อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร รวม 11 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองไว้แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2519 ในวงเงิน1,100,000 บาท ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกันเอกสารหมาย จ.7 ต่อมาวันที่ 22กันยายน 2521 จำเลยตกลงขึ้นเงินจำนองตามสัญญาจำนอง ดังกล่าวเป็นวงเงิน 1,700,000 บาท และ 1,970,000 บาทตามลำดับ ตามบันทึกข้อตกลงขึ้นเงินจากจำนองเป็นประกันครั้งที่ 1 เอกสารหมาย จ.9และ จ.10 สัญญาจำนองมีข้อตกลงตามบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่าหากโจทก์บังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยยอมรับใช้เงินจำนวนที่ขาด บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์ในวันที่ 22 กันยายน 2521 เป็นจำนวน 4,599,640.30 บาทหลังจากนั้นบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ได้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์และค้างชำระดอกเบี้ย ซึ่งโจทก์ได้นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระนั้นทบเข้ากับจำนวนเบิกเกินบัญชีเป็นต้นเงินเบิกเกินบัญชีทันทีที่ค้างชำระโจทก์หักทอนบัญชีกับบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2524 ปรากฏว่าในวันนั้นบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัดเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีแก่โจทก์จำนวน 5,297,500.49 บาท ต่อมาบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ถูกผู้มีชื่อฟ้องเป็นคดีล้มละลายต่อศาลแพ่งและศาลแพ่งพิพากษาให้บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัดล้มละลายในคดีหมายเลขแดงที่ ล.295/2527 ของศาลแพ่ง เมื่อวันที่26 พฤษภาคม 2529 ต่อมาโจทก์มีหนังสือเอกสารหมาย จ.11 บอกกล่าวให้จำเลยนำเงินไปชำระหนี้ดังกล่าวและไถ่ถอนจำนอง จำเลยได้รับหนังสือนั้นแล้วแต่เพิกเฉยโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายดังกล่าวแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้ว อำนาจหน้าที่ในการจัดการทรัพย์สินของบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ตกเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22, 109 และ 119 และก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินของบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ในคดีล้มละลายนั้นและมีสิทธิได้รับชำระหนี้แล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยซึ่งได้จำนองทรัพย์สินของตนไว้เป็นประกันการชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ตามสัญญาจำนองที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ดังนั้นแม้บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์ที่จำเลยจำนองทรัพย์สินเป็นประกันถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายและโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด เป็นหนี้โจทก์ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายนั้นแล้ว แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้ดังกล่าวจากทรัพย์สินของบริษัทพาณิชยธนาสารจำกัด จำเลยซึ่งเป็นผู้จำนองทรัพย์สินของตนเป็นประกันหนี้ของบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ก็ยังคงมีความผูกพันตามสัญญาจำนองที่ได้ทำไว้กับโจทก์ โจทก์จึงยังคงมีสิทธิฟ้องบังคับจำนองแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 ซึ่งเมื่อโจทก์ได้มีหนังสือเอกสารหมาย จ.11 บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจำนองรวมทั้งสิ้นไม่เกินวงเงินจำนองจำนวน 3,670,000 บาท โดยไม่ต้องรับผิดสำหรับดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวนั้น เห็นว่าจำเลยทำสัญญาตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันจำนวน 2 ฉบับตามเอกสารหมายจ.5 และ จ.7 และต่อมาได้เพิ่มวงเงินจำนองตามบันทึกข้อตกลงขึ้นเงินจำนองเป็นประกันเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 เพื่อเป็นประกันการกู้เงินเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทพาณิชยธนาสารจำกัด กับโจทก์และปรากฏว่าบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 กับโจทก์โดยมีข้อความระบุในสัญญาดังกล่าวข้อ 2 ว่า บริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัดยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์สำหรับจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีไปและหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.5 และ จ.7ข้อ 1 ก็มีข้อความระบุเช่นเดียวกันว่า จำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในการจำนองที่ดินเป็นประกันการกู้เงินเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด กับโจทก์ จึงฟังได้ว่าจำเลยมีความผูกพันตามสัญญาจำนองที่ทำไว้กับโจทก์ที่จะต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ด้วย นอกจากนี้แล้วข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกันเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.5 และข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกันเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.7 ก็มีข้อความระบุไว้ในข้อ 1วรรคสองว่า “ถ้าผู้จำนองหรือลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงสัญญาข้อหนึ่งข้อใดที่ทำไว้กับผู้รับจำนองเป็นเหตุให้ผู้รับจำนองได้รับความเสียหาย ผู้จำนองยอมรับผิดชอบชดใช้เงินต้นพร้อมทั้งดอกเบี้ยรวมทั้งค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้และค่าธรรมเนียมในการบังคับจำนองหรือในการไถ่ถอนจำนอง ซึ่งผู้รับจำนองต้องเสียไปทั้งสิ้น”ซึ่งเมื่อจำเลยตกลงเพิ่มวงเงินจำนองตามบันทึกข้อตกลงขึ้นเงินจำนองเป็นประกันครั้งที่ 1 เอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 จำเลยและโจทก์ได้ตกลงกันตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวข้อ 1 ว่า ข้อตกลงอื่น ๆ ให้เป็นไปตามสัญญาจำนองเดิมทุกประการด้วย ข้อสัญญาตามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกันเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ข้อ 1 วรรคสองดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่าแม้จำเลยซึ่งเป็นผู้จำนองรับผิดใช้ต้นเงินของบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ในการเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เพียงไม่เกินจำนวนเงินจำนอง 3,670,000 บาท มิใช่รับผิดโดยไม่จำกัดก็ตามแต่เมื่อบริษัทพาณิชยธนาสาร จำกัด ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ จำเลยซึ่งเป็นผู้จำนองเป็นประกันก็จะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน3,670,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปีโดยวิธีทบต้นตามประเพณีธนาคารนับตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2521 ถึงวันที่26 มกราคม 2524 และให้คิดในอัตราเดียวกันนี้ต่อจากนั้นไปโดยไม่ทบต้นจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้น ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share