แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ธนาคารพาณิชย์โจทก์มีประกาศเรื่อง กำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกจากจำเลยได้ตามที่ตกลงกันไว้เมื่อโจทก์มิได้คิดดอกเบี้ยเกินไปกว่าอัตราที่ปรากฏในประกาศดังกล่าว จึงไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 อันจะทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะ
ข้อตกลงที่ให้ธนาคารโจทก์คิดค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสดซึ่งจะคิดต่อเมื่อมีการเบิกถอนเงินสด และค่าธรรมเนียมการเป็นสมาชิกซึ่งจะคิดเป็นรายปี มิใช่เป็นข้อตกลงที่มีลักษณะหรือมีผลให้จำเลยในฐานะผู้บริโภคปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติอันจะเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2546 จำเลยได้สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ ประเภทบัตรวีซ่าของโจทก์ ซึ่งบัตรเครดิตดังกล่าวสามารถนำไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าและสถานบริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ ตลอดจนใช้เบิกเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติหรือจากสำนักงานของโจทก์ โจทก์อนุมัติให้จำเลยเป็นสมาชิก โดยจำเลยตกลงยินยอมผูกพันตามระเบียบและเงื่อนไขในการใช้บัตรเครดิตประเภทบัตรวีซ่าทุกประการ และจำเลยตกลงจะชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตคืนให้แก่โจทก์ตามจำนวนเงินและภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในใบแจ้งยอดใช้จ่าย หากจำเลยไม่สามารถชำระเงินได้ครบถ้วนในคราวเดียว ให้ถือว่าจำเลยขอผ่อนชำระหนี้ส่วนที่เหลือในเดือนต่อๆ ไป โดยยินยอมเสียดอกเบี้ยของยอดเงินคงค้าง นับแต่วันถัดจากวันที่ออกใบแจ้งยอดใช้จ่ายจนกว่าจะชำระหนี้ที่เหลือครบถ้วน และยอมให้โจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้โดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบ ต่อมาจำเลยได้นำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าและบริการ ตลอดจนการใช้เบิกเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติและจากสำนักงานของโจทก์เรื่อยมา โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยให้แก่สถานประกอบกิจการค้าต่าง ๆ ไปแล้ว และได้จัดส่งใบแจ้งยอดใช้จ่ายให้จำเลย จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์เพียงบางส่วน คำนวณถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2550 จำเลยค้างชำระต้นเงินจำนวน 40,060.85 บาท ดอกเบี้ยจำนวน 6,248.96 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 46,309.81 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 51,281.75 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 40,060.85 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญาบัตรเครดิตระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาที่ขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 สัญญาจึงตกเป็นโมฆะ การคิดผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยซ้ำซ้อนกับการคิดค่าบริการเป็นการ
เอาเปรียบจำเลย การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงตกเป็นโมฆะและคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 51,281.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 40,060.85 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 31 กรกฎาคม 2551) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงินจำนวน 6,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงประการเดียวว่า สัญญาบัตรเครดิตที่จำเลยทำกับโจทก์ขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์คิดผลประโยชน์ตอบแทนจากจำเลยในหลายรูปแบบทั้งในรูปของดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่มีอัตราค่อนข้างสูง ถือเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 สัญญาบัตรเครดิตที่จำเลยทำกับโจทก์จึงตกเป็นโมฆะ เห็นว่า โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ สำหรับข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยนั้นโจทก์มีประกาศเรื่อง กำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลดเอกสารหมาย จ.12 จ.13 มานำสืบให้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกจากจำเลยได้ตามที่ตกลงกันไว้ ตามข้อเท็จจริงในสำนวนก็ไม่ปรากฏว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินไปกว่าอัตราที่ปรากฏในประกาศดังกล่าวของโจทก์ ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยจึงหาขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 อันจะทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะตามที่จำเลยอ้างไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่า นอกจากข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ยแล้ว ยังมีข้อตกลงให้คิดค่าธรรมเนียม ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อีก อันถือเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมนั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนได้ความแต่เพียงว่า นอกจากดอกเบี้ยแล้วโจทก์คงคิดเฉพาะค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด ซึ่งจะคิดต่อเมื่อมีการเบิกถอนเงินสด และค่าธรรมเนียมการเป็นสมาชิกซึ่งจะคิดเป็นรายปีเท่านั้น ข้อตกลงเหล่านี้จึงหาใช่เป็นข้อตกลงที่มีลักษณะหรือมีผลให้จำเลยในฐานะผู้บริโภคปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติอันจะเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 ไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นสูงกว่าอัตราขั้นสูงตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นอุทธรณ์ก็ตาม”
พิพากษายืน แต่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น 3,000 บาท แทนโจทก์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ