คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8925/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 จะกำหนดการกระทำความผิดที่จะได้รับการพิจารณาเข้าสู่กระบวนพิจารณาฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดไว้ ได้แก่ 1. เสพยาเสพติด 2. เสพและมียาเสพติดไว้ในครอบครอง 3. เสพและมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 4. เสพและจำหน่ายยาเสพติด โดยไม่มีความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายแต่เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ดังกล่าวแสดงถึงเจตนารมณ์ของบทบัญญัติในอันที่จะให้โอกาสผู้ที่เสพยาเสพติดให้โทษซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษฐานอื่นที่มีปริมาณยาเสพติดเล็กน้อยไม่เกินจำนวนตามที่กฎหมายกำหนด เข้ากระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โดยต้องมีปริมาณเมทแอมเฟตามีนไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือมีน้ำหนักไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ดังนั้น การที่ผู้ถูกกล่าวหาว่าเสพเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายที่มีปริมาณเมทแอมเฟตามีนไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ตามที่กฎกระทรวงกำหนด จึงถือได้ว่าผู้ต้องหากระทำความผิดฐานเสพและมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หรือฐานเสพและจำหน่ายยาเสพติด ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขที่จะได้รับการฟื้นฟูตามมาตรา 19 วรรคหนึ่งแล้ว
อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาว่าผู้กระทำผิดอยู่ในเงื่อนไข หรือหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการฟื้นฟูตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 หรือไม่นั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของศาล ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะโต้แย้งคัดค้านหรือวินิจฉัย ผู้คัดค้านมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่ถูกส่งมาให้สามารถกลับตัวเป็นพลเมืองดีตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเท่านั้น
บทบัญญัติห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 เป็นกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับกระบวนพิจารณาในชั้นศาล เมื่อผู้คัดค้านปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล การที่ศาลมีคำสั่งยืนยันคำสั่งเดิมให้ผู้คัดค้านซึ่งไม่ใช่ศาลปฏิบัติตามคำสั่งต่อไป จึงมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำแต่อย่างใด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองเพชรบูรณ์ จับผู้ต้องหากับพวกส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในความผิดฐานเสพและร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย โดยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5 เม็ด และสิ่งของที่เกี่ยวข้องเป็นของกลาง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งตัวผู้ต้องหาไปควบคุมเพื่อตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด ต่อมาพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องว่า คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดเห็นว่าการกระทำความผิดของผู้ต้องหาไม่เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 และส่งตัวผู้ต้องหาคืนพนักงานสอบสวน แต่พนักงานสอบสวนเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องหาเข้าเงื่อนไขที่จะได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ทั้งมีลักษณะและพฤติการณ์ที่อาจเป็นภัยต่อบุคคลอื่นอย่างร้ายแรง จึงขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งผู้ต้องหาไปควบคุมตัวเพื่อพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดในสถานที่เพื่อการควบคุมตัวและตรวจพิสูจน์ สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดเพชรบูรณ์ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 และหากไม่ส่งตัวผู้ต้องหาไปควบคุมตัวเพื่อพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดแล้ว ขอให้สั่งให้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเพชรบูรณ์ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 73 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า พิเคราะห์คำร้องและเอกสารประกอบแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานเสพ มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามลักษณะ ชนิดและประเภทกับปริมาณที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ต้องหาอยู่ในระหว่างการถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งมีโทษจำคุกหรืออยู่ในระหว่างการรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล กรณีจึงเข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลต้องพิจารณามีคำสั่งให้ส่งตัวผู้ต้องหาไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 เพื่อให้ผู้ต้องหาได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพและบำบัดการติดยาเสพติดตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว ประกอบกับไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจคณะอนุกรรมการฯ วินิจฉัยว่ากรณีตามคำร้องจะเข้าหลักเกณฑ์ที่ต้องส่งตัวผู้ต้องหาเข้ารับการตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดหรือไม่ ทั้งหากศาลมีคำสั่งในกรณีดังกล่าวแล้วผู้มีส่วนได้เสียเห็นว่าคำสั่งศาลไม่ถูกต้องก็สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ให้ส่งตัวผู้ต้องหาไปควบคุมเพื่อตรวจพิสูจน์ แจ้งคำสั่งให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบ
คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดเพชรบูรณ์ ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบคัวพิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาตามฎีกาของผู้คัดค้านประการแรกว่า การกระทำของผู้ต้องหาเข้าหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 กำหนดการกระทำความผิดที่จะได้รับการพิจารณาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดไว้ได้แก่
1. เสพยาเสพติด
2. เสพและมีไว้ในครอบครอง
3. เสพและมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
4. เสพและจำหน่ายยาเสพติด
ซึ่งจะต้องเป็นไปตามลักษณะ ชนิด ประเภทและปริมาณที่กำหนดในกฎกระทรวง ถ้าไม่ปรากฏว่าต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกหรืออยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล ให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาไปศาลภายใน 48 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ผู้ต้องหานั้นมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนเพื่อให้ศาลพิจารณาส่งตัวผู้นั้นไปตรวจพิสูจน์การเสพ หรือการติดยาเสพติดโดยกรณีผู้ต้องหามีอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ ให้พนักงานสอบสวนนำตัวส่งศาลเพื่อดำเนินการดังกล่าวภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ผู้ต้องหานั้น มาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนเมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติดังกล่าว เห็นว่า แม้บทบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดฐานความผิดที่จะเข้าเงื่อนไขในอันที่จะได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ติดยาเสพติดไว้อย่างชัดเจนโดยไม่มีความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ระบุไว้ท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ว่า โดยที่ปัญหาเกี่ยวกับการเสพยาเสพติดให้โทษในปัจจุบันมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งโดยหลักการแล้วผู้เสพยาเสพติดมีสภาพเป็นผู้ป่วยอย่างหนึ่ง มิใช่อาชญากรปกติ การฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ติดยาเสพติดจึงสมควรกระทำให้กว้างขวางและโดยที่ผู้เสพยาเสพติดจำนวนหนึ่งถูกบังคับให้เป็นผู้จำหน่ายเพื่อแลกกับการได้ยาเสพติดไปเสพด้วย สมควรขยายขอบเขตของการฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ติดยาเสพติดให้ครอบคลุมถึงผู้เสพและมีไว้ในครอบครอง ผู้เสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและผู้เสพและจำหน่ายจำนวนเล็กน้อยด้วย ย่อมแสดงถึงเจตนารมณ์ของบทบัญญัติดังกล่าว ที่จะให้โอกาสผู้ที่เสพยาเสพติดให้โทษซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษฐานอื่นที่มีปริมาณยาเสพติดให้โทษจำนวนเล็กน้อยไม่เกินจำนวนตามกฎหมายกำหนด เข้ากระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดดังที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 ด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะได้รับโอกาสในการเข้ากระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าวและกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และปริมาณของยาเสพติด พ.ศ.2545 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 ข้อ 1 และข้อ 2 ซึ่งกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภทและปริมาณของยาเสพติดสำหรับความผิดฐานเสพยาเสพติดตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ให้รวมถึงเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ด้วยตามข้อ 1 (1) (ข) ส่วนความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครอง ความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และความผิดฐานเสพและจำหน่ายยาเสพติดตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ต้องมีปริมาณเมทแอมเฟตามีนไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือมีน้ำหนักไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ตามข้อ 2 (1) (ข) เมื่อผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่าเสพเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าว ซึ่งถือได้ว่าผู้ต้องหากระทำความผิดฐานเสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือฐานเสพและจำหน่ายยาเสพติด ตามกฎกระทรวงข้อ 1 (1) (ข) และข้อ 2 (1) (ข) จึงอยู่ในเงื่อนไขตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 แล้ว ทั้งอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาว่าผู้กระทำความผิดอยู่ในเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดหรือไม่นั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของศาล ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะโต้แย้งคัดค้านหรือวินิจฉัยว่าอยู่ในเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ ผู้คัดค้านมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่ถูกส่งมาให้สามารถกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไปให้ได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเท่านั้น ส่วนที่ผู้คัดค้านฎีกาประการต่อมาว่า การที่ศาลชั้นต้นยืนยันคำสั่งเดิมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำนั้น เห็นว่า บทบัญญัติห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเป็นกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับกระบวนพิจารณาในชั้นศาล การที่ผู้คัดค้านปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล จึงชอบที่ศาลจะมีคำสั่งยืนยันคำสั่งเดิมให้ผู้คัดค้านซึ่งไม่ใช่ศาลปฏิบัติตามคำสั่งต่อไปได้ตามกฎหมาย จึงมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามฎีกาของผู้คัดค้านแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดผู้คัดค้านทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share