คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้หลังเกิดเหตุแล้ว 2 เดือน นิ้วก้อยซ้ายของผู้เสียหายยังไม่สามารถยืดออกได้ตามปกติก็ตาม แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าอาการป่วยเจ็บเช่นว่านั้นทำให้ผู้เสียหายได้รับทุกขเวทนาหรือไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้ตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า บาดแผลดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา หรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน อันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส การที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ปากซอย แล้วไล่ตามเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายในบริเวณบ้านของ พ. อีกนั้น ถือได้ว่า เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยจำเลยมีเจตนาอันเดียวมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91, 297, 358, 364, 365
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 364 การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุก 3 เดือนฐานบุกรุกจำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 365 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 365ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 เดือน ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด1 เดือน และปรับ 1,000 บาท เฉพาะโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายจอดรถอยู่ที่ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 70 เพื่อรอเลี้ยวซ้ายออกถนนจรัญสนิทวงศ์ จำเลยที่ 1 ซึ่งมีอาการเมาสุราเข้าไปต่อว่าผู้เสียหายว่าจอดรถขวางทาง เมื่อผู้เสียหายลงจากรถ จำเลยที่ 1ใช้ขวดสุราตีผู้เสียหายแต่ไม่ถูกแล้วเข้าชกต่อยผู้เสียหายเกิดการต่อสู้กัน จำเลยที่ 1 หยิบขวดสุราขึ้นฟาดพื้นแตกถือวิ่งเข้าหาผู้เสียหาย ผู้เสียหายวิ่งหนีเข้าไปในบ้านของนายพัฒนพันธ์ปรีดาสวัสดิ์ บิดาซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 20 เมตร จำเลยทั้งสองวิ่งตามเข้าไปในบริเวณบ้านของนายพัฒนพันธ์ และรุมชกต่อยผู้เสียหาย ผู้เสียหายมีบาดแผลถลอกที่ดั้งจมูกและศอกขวา เส้นเอ็นที่ยึดข้อปลายของนิ้วก้อยซ้ายขาด นิ้วก้อยซ้ายงอผิดรูป แพทย์ลงความเห็นว่าบาดแผลดังกล่าวใช้เวลาในการศึกษา 1 เดือนตามรายงานการตรวจบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่าผู้เสียหายไปรักษาที่ยันฮีโพลีคลีนิคเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน หลังเกิดเหตุแล้ว 2 เดือนเศษ นิ้วก้อยซ้ายยังไม่สามารถยึดได้ตามปกติและโจทก์มีนายแพทย์วิสูตร ฟองศิริไพบูลย์ แพทย์ผู้ตรวจบาดแผลผู้เสียหายหลังเกิดเหตุและรักษาบาดแผลผู้เสียหายที่ยันฮีโพลีคลีนิคด้วยเบิกความว่าเมื่อตรวจบาดแผลโดยละเอียดพบว่านอกจากเส้นเอ็นปลายนิ้วก้อยซ้ายของผู้เสียหายขาดแล้ว กระดูกบริเวณเดียวกันยังแตกด้วย ต้องรักษาโดยใช้เหล็กเป็นเส้น ๆ ยิงตามกระดูก ในช่วงระหว่างการรักษานิ้วก้อยซ้ายไม่สามารถใช้งานได้เหมือนเดิม ผู้เสียหายไปรับการรักษาประมาณ 10 ครั้ง หลังจากรักษาได้ประมาณ 2 เดือน จึงถอดเหล็กที่ดามออก เห็นว่า แม้หลังเกิดเหตุแล้ว 2 เดือน นิ้วก้อยซ้ายของผู้เสียหายยังไม่สามารถยืดออกได้ตามปกติก็ตาม แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าอาการป่วยเจ็บเช่นว่านั้นทำให้ผู้เสียหายได้รับทุกขเวทนาหรือไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้ตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า บาดแผลดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันอันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัสตามฟ้อง
โจทก์ฎีกาข้อต่อมาว่า จุดเกิดเหตุทำร้ายครั้งแรกและบุกรุกอยู่ห่างกัน ผู้เสียหายเป็นคนละคนกัน และจำเลยที่ 1 มีเวลายั้งคิดก่อนติดตามผู้เสียหายไปในบ้านของนายพัฒนพันธ์ การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 70 แล้วไล่ตามเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายในบริเวณบ้านของนายพัฒนพันธ์อีกนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน โดยจำเลยมีเจตนาอันเดียวมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่อาจรับฟังว่า จำเลยที่ 2 ร่วมชกต่อยผู้เสียหายในเหตุการณ์ตอนแรกที่ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 70 จึงสมควรที่ศาลอุทธรณ์จะใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยที่ 2 น้อยกว่าจำเลยที่ 1
พิพากษายืน

Share