คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8917/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยรักใคร่ชอบพอกันมาก่อนและระหว่างที่ถูกฉุดไปผู้เสียหายพยายามหลบหนีถึง 2 ครั้ง แต่ก็ถูกจำเลยทำร้ายและข่มขู่บังคับไม่ให้หลบหนีแม้การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปยังต่างจังหวัดในที่ต่าง ๆ หลายแห่งและหลายวัน จะเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากความประสงค์เดียวกับการข่มขืนกระทำชำเรา แต่จำเลยก็ได้ทำร้ายและข่มขู่บังคับไม่ให้ผู้เสียหายหลบหนี ถือได้ว่าเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังอีกกระทงหนึ่งต่างหากจากความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงซึ่งเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ปัญหานี้แม้โจทก์จำเลยจะไม่ได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2542 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกอีก 1 คนร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาว ญ. ผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาจำเลย โดยขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน 2542 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ถึงวันที่ 25มิถุนายน 2542 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกันจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายอีกหลายครั้งโดยขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้เหตุเกิดที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ และอำเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี เกี่ยวพันกันขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,276, 310

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก วรรคสอง, 310 วรรคแรก เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 8 ปีฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำคุก 20 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 30 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 20 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษจำคุก 20 ปีจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นนี้ฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยกับพวกอีก 1 คน ได้พาผู้เสียหายจากบ้านและชุมชนแฟลตกระป๋องแขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ขึ้นรถยนต์ตู้ไปบ้านเพื่อนจำเลยที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนพวกจำเลยขับรถยนต์ตู้กลับกรุงเทพมหานคร ต่อจากนั้นจำเลยพาผู้เสียหายไปมาและค้างคืนด้วยกันระหว่างจังหวัดเพชรบูรณ์กับจังหวัดลพบุรี คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ โจทก์มีนางสาว ญ. ผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ขณะที่ผู้เสียหายและนางสาวน้องหรือวันดี ทวีสุข อยู่ในบ้านที่เกิดเหตุในชุมชนแฟลตกระป๋อง แขวงบางซื่อเขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร จำเลยมาเรียกให้นางสาวน้องเปิดประตู แล้วฉุดผู้เสียหายพาไปขึ้นรถยนต์ตู้ที่มีนายพายัพ ใจหาญ พวกจำเลยเป็นคนขับจอดรออยู่และขับพาหนีไปที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจำเลยให้ผู้เสียหายนั่งเบาะแถวหน้าหลังคนขับ ระหว่างทางจำเลยข่มขู่ไม่ให้ผู้เสียหายหลบหนี แล้วจำเลยกับนายพายัพผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายบนรถยนต์ตู้คนละ 1 ครั้ง เมื่อถึงจังหวัดเพชรบูรณ์จำเลยพาผู้เสียหายไปบ้านเพื่อนจำเลย ส่วนนายพายัพขับรถยนต์ตู้กลับกรุงเทพมหานคร ระหว่างนั้นจำเลยทำร้ายและข่มขู่ไม่ให้ผู้เสียหายหลบหนีแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย 1 ครั้ง จากนั้นจำเลยพาผู้เสียหายไปนอนค้างคืนที่บ้านน้าจำเลยที่จังหวัดลพบุรี แต่ไม่ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเพราะผู้เสียหายมีประจำเดือน วันรุ่งขึ้นจำเลยพาผู้เสียหายไปบ้านเพื่อนจำเลยที่จังหวัดเพชรบูรณ์แล้วพากลับไปนอนค้างคืนที่บ้านน้าจำเลยที่จังหวัดลพบุรีอีก ระหว่างนั้นจำเลยถือมีดออกมาขู่และข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย 1 ครั้ง วันต่อมาผู้เสียหายพยายามจะหลบหนีจึงถูกจำเลยทำร้าย จำเลยห้ามไม่ให้ผู้เสียหายบอกน้าจำเลย แล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีก 1 ครั้ง โดยโจทก์มีนางสาวน้องหรือวันดีเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยฉุดผู้เสียหายพาขึ้นรถยนต์ตู้ไปจริง นอกจากนี้ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพโดยไม่ปรากฏว่ามีการล่อลวงขู่เข็ญหรือให้สัญญาเพื่อจูงใจให้จำเลยให้การแต่อย่างใด จึงใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยในการพิจารณาได้ ประกอบกับผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยรักใคร่ชอบพอกันมาก่อน เพียงเห็นหน้ากันไม่นานนักจึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะยินยอม ซึ่งหากผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราดังที่จำเลยฎีกา ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ผู้เสียหายจะต้องชี้ยืนยันให้ร้อยตำรวจเอกสามารถพรหมชาติ จับกุมจำเลยทันที และยังให้การด้วยว่าที่จังหวัดเพชรบูรณ์นั้นผู้เสียหายพยายามหลบหนีถึง 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถกระทำได้ ทั้งแพทย์ได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายแล้วพบว่าที่แคมเล็กข้างซ้ายและแคมใหญ่ข้างขวามีรอยบวมแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร และ 4 เซนติเมตร ตามลำดับ ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำหรือใส่ร้ายจำเลยให้ต้องรับโทษ ที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราและจำเลยไม่ได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายนั้น ก็ขัดกับที่จำเลยเคยให้การไว้ในชั้นจับกุมตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 และในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมายจ.5 ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักพยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายดังกล่าวเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โดยให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง นั้น ปัญหาว่า การที่จำเลยกับพวกร่วมกันฉุดผู้เสียหายพาขึ้นรถยนต์ตู้ไปยังต่างจังหวัดในที่ต่าง ๆ หลายแห่งและหลายวันโดยวันแรกระหว่างเดินทางจำเลยกับพวกได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงในรถยนต์ตู้คนละ 1 ครั้ง และระหว่างผู้เสียหายอยู่กับจำเลยที่ต่างจังหวัดตามลำพังจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีกหลายครั้ง โดยระหว่างนั้นผู้เสียหายพยายามหลบหนี 2 ครั้ง ก็ถูกจำเลยทำร้ายและข่มขู่ไม่ให้หลบหนีจนกระทั่งต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจติดตามช่วยเหลือผู้เสียหายและจับกุมจำเลยได้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังกับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท หรือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยรักใคร่ชอบพอกันมาก่อนและระหว่างที่ถูกฉุดไปนั้นผู้เสียหายพยายามหลบหนีถึง 2 ครั้ง แต่ก็ถูกจำเลยทำร้ายและข่มขู่บังคับไม่ให้หลบหนี แม้การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปยังต่างจังหวัดในที่ต่าง ๆ หลายแห่งและหลายวัน จะเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากความประสงค์เดียวกับการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปยังที่ต่าง ๆ หลายวันโดยได้ทำร้ายและข่มขู่บังคับไม่ให้ผู้เสียหายหลบหนี นั้นถือได้ว่าเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่งต่างหากจากความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว หาใช่เป็นกรรมเดียวไม่ ปัญหาดังกล่าวนี้แม้โจทก์จำเลยจะไม่ได้ฎีกาแต่ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือหลายกรรมต่างกัน เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงกรรมหนึ่งและฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังอีกกรรมหนึ่ง แต่โจทก์มิได้ฎีกาในปัญหานี้ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้อง แต่ไม่อาจกำหนดโทษในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังอีก เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225

พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง กับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share