คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8900/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยทั้งสิบสองแปลงโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามมาตรา 149 แต่ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมย่อมตกอยู่แก่คู่ความที่แพ้คดีซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยตามมาตรา 161 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมชั้นบังคับคดีย่อมตกอยู่แก่จำเลย เมื่อจำเลยยังไม่ได้ชำระ แม้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้วก็ตาม การบังคับคดีจึงต้องดำเนินต่อไป
โจทก์มิใช่เจ้าหนี้จำนองของจำเลย โจทก์จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 289 ได้ ส่วนหากคำร้องดังกล่าวจะถือเป็นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ตามมาตรา 290 ได้นั้น โจทก์ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลย แต่ตามคำร้องของโจทก์ไม่ได้ความเช่นนั้น จึงถือไม่ได้ว่าคำร้องของโจทก์เป็นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ตามมาตรา 290

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 22,253,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้เอาที่ดินที่จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอใช้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 3 ที่จำนองไว้กับโจทก์รวม 12 แปลง ออกขายทอดตลาด

จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งงดการขายทอดตลาดที่ดินทั้งสิบสองแปลงดังกล่าวไว้ก่อน เนื่องจากโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากจำเลยที่ 1 ไปครบถ้วนแล้ว

โจทก์ยื่นคำร้องขอ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดที่ดิน 12 แปลง นี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน6,235,013.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 2,348,258.98 บาท นับจากวันยื่นคำร้องขอจนกว่าผู้ร้องจะได้รับชำระหนี้แล้วเสร็จ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้จึงได้งดการไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 และอนุญาตให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากที่ดินที่จำนองได้ตามคำร้องขอ

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้งสองกรณี

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6807/2540 จากที่ดินทั้งสิบสองแปลงที่ถูกยึดไว้ในคดีนี้ได้อย่างเจ้าหนี้สามัญ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ในประการแรกว่า มีเหตุสมควรงดการขายทอดตลาดที่ดินทั้งสิบสองแปลงนั้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้แล้วตามบันทึกการรับชำระหนี้ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2539 เอกสารท้ายคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดหมายเลข 2 แต่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณานัดพร้อมลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 ว่า จำเลยที่ 3 ยังไม่ได้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นบังคับคดี คดีนี้โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยที่ 3 ทั้งสิบสองแปลง โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 แต่ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมย่อมตกอยู่แก่คู่ความที่แพ้คดี ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161วรรคหนึ่งและวรรคสอง เมื่อจำเลยที่ 3 เป็นฝ่ายแพ้คดีความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าธรรมเนียมชั้นบังคับคดีย่อมตกอยู่แก่จำเลยที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 3 ยังไม่ได้ชำระ การบังคับคดีจึงต้องดำเนินต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดของจำเลยที่ 3 จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

สำหรับฎีกาประการสุดท้ายของจำเลยที่ 3 ว่า โจทก์มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์หรือไม่ โจทก์ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ในกรณีเช่นนี้ โจทก์ต้องเป็นเจ้าหนี้จำนองของจำเลยที่ 3 แต่ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า โจทก์มิใช่เจ้าหนี้จำนองของจำเลยที่ 3โจทก์จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนคำร้องของโจทก์ดังกล่าวจะถือเป็นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ด้วย ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จะถือว่าคำร้องของโจทก์เป็นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ตามมาตรา 290 ได้ โจทก์ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่า โจทก์ไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยที่ 3 แต่ตามคำร้องของโจทก์ไม่ได้ความเช่นนั้นจึงถือไม่ได้ว่าคำร้องของโจทก์เป็นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากที่ดินทั้งสิบสองแปลงที่ถูกยึดไว้ในคดีนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share