แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นนายคลังยุทธภัณฑ์ย่อมมีอำนาจเก็บรักษากระสุนปืนของทหารไว้ในความควบคุมได้ การที่จำเลยนำกระสุนปืนไปเก็บไว้ที่บ้านในบริเวณของทหารนั่นเองจะฟังว่ากระสุนปืนไม่ใช่ของราชการทหารยังไม่ได้จำเลยจึงยังไม่มีผิดฐานมีอาวุธปืนสำหรับจะใช้แต่เฉพาะในการสงครามตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืน2490 มาตรา 55,78
อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของทางราชการทหารนั้น พระราชบัญญัติอาวุธปืนไม่ใช้บังคับ (อ้างฎีกาที่ 1958/2492)
ย่อยาว
คดีนี้ จำเลยต้องหาหลายกระทง ศาลมณฑลทหารบกที่ 4 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 225, 129 และ 131 ให้ลงโทษตามมาตรา 131 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 ปี กระทง 1 มีความผิดฐานมีอาวุธปืนสำหรับจะใช้แต่เฉพาะในการสงครามตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน 2490 มาตรา 55, 78 ให้จำคุก 1 ปี อีกกระทงหนึ่ง กระสุนปืนของกลางให้ริบ กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
ศาลทหารกลางพิพากษาแก้ในความผิดกระทงแรกเฉพาะโทษจำคุกเหลือ5 ปี ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่ผิด ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาเฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อหาเกี่ยวกับกระสุนปืนเล็กยาวแบบ 66 ของราชการทหาร ที่หาว่าจำเลยมีไว้โดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องถิ่นนั้น พระราชบัญญัติอาวุธปืน 2490 มาตรา 5(1) มีว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของทางราชการทหารนั้น พระราชบัญญัติอาวุธปืนมิให้ใช้บังคับ กระสุนปืนรายนี้โจทก์กล่าวหาในฟ้องว่าเป็นของราชการทหาร และศาลทหารกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนายคลังยุทธภัณฑ์ ย่อมมีอำนาจเก็บรักษากระสุนปืนของทหารไว้ในความควบคุมได้ การที่จำเลยนำกระสุนปืนไปเก็บไว้ที่บ้านในบริเวณของทหารเองนั้น จะให้ฟังว่ากระสุนปืนไม่ใช่ของราชการทหารยังไม่ได้เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยก็ยังไม่มีความผิดในฐานนี้ เทียบได้ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1958/2492
จึงพิพากษายืน