แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ลักษณะความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือฐานออกเช็คโดยรู้อยู่แล้วว่าในขณะออกเช็คไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงจ่ายให้ได้นั้น สารสำคัญของความผิดทั้งสองฐานนี้อยู่ที่วันออกเช็ค คือ วันที่สั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คนั้น ถ้าเช็ครายใดผู้ออกเช็คไม่ได้ลงวันที่ออกเช็ค ก็ไม่มีทางที่จะให้ผู้ออกเช็คทราบได้ว่าจะให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นในวันใด ซึ่งวันนั้นผู้ออกเช็คจะได้เตรียมเงินไว้ในบัญชีที่ธนาคารอันจะพึงจ่ายเงินตามเช็คนั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เช็คที่ไม่มีวันออกเช็ค ถือได้ว่าไม่มีวันที่ผู้ออกเช็คกระทำผิด แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 910 ประกอบกับมาตรา 989 จะให้สิทธิผู้ทรงเช็คไว้ว่าถ้าเช็ครายใดมิได้ลงวันออกเช็ค ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใดทำการโดยสุจริต จะจดวันที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้ นั้น กฎหมายเพียงแต่ให้เช็คฉบับนั้นเป็นเช็คที่มีรายการสมบูรณ์ตามกฎหมายฟ้องร้องบังคัดคดีกันได้ในทางแพ่งเท่านั้น แต่หามีผลที่จะลงโทษผู้ออกเช็คในทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 อนุมาตรา (1) และ (2) ไม่
การที่ผู้ทรงเช็คฟ้องผู้ออกเช็คดังกล่าวในวรรคต้น จะถือว่านำความเท็จมาฟ้องต่อศาลว่าผู้ออกเช็คกระทำผิดอาญาไม่ได้ เพราะมีเหตุที่ทำให้ผู้ทรงเข้าใจผิดคือสิทธิของผู้ทรงเช็คมีสิทธิในอันที่จะลงวันออกเช็คในเช็ครายพิพาทใด.
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้นางวัจนา สาตมาลี ขอให้พิจารณารวมกันในชั้นศาลฎีกา ศาลฎีกาอนุญาตให้เรียกนางวัจนาเป็นโจทก์ และนางอรเป็นจำเลย
ในสำนวนแรก โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานออกเช็คโดยเจตนาจะมิให้มีการใช้เงินตามเช็คและออกเช็คโดยรู้อยู่แล้วว่า ในขณะออกเช็คนั้นไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงจ่ายให้ได้และธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งคดีมีมูลให้ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่ามิได้ออกเช็ครายพิพาทเพื่อชำระหนี้โจทก์ และโจทก์ลงวันที่ในเช็คเอาเองโดยพลการ จำเลยจึงไม่มีความผิด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างอุทธรณ์ จำเลยกลับเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีแรกเป็นจำเลยว่า โจทก์นำเอาความเท็จมาฟ้องจำเลยว่ากระทำผิดอาญาตามสำนวนแรก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งคดีมีมูลให้รับประทับฟ้องไว้พิจารณาเช่นเดียวกัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีหลังอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาสำนวนแรกว่าเช็ครายพิพาทนางอรจำเลยออกให้เพื่อชำระหนี้แก่นางวัจนาโจทก์ เมื่อนำไปขึ้นเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะเงินในบัญชีของจำเลยไม่พอจ่าย จำเลยจึงมีความผิด พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓(๑) ให้จำคุกนางอรจำเลย ๖ เดือน
ส่วนสำนวนหลัง ฟังว่านางอรโจทก์ได้ออกเช็ครายพิพาทให้นางวัจนาจำเลยเพื่อนำไปขอกู้เงินผู้อื่นโดยยังไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย นางอรมิได้ออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่นางวัจนาการที่นางวัจนาจำเลยนำเช็ครายพิพาทมาฟ้องนางอรต่อศาลว่าออกเช็คโดยเจตนาจะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค จึงเป็นฟ้องเท็จ พิพากษากลับ ว่านางวัจนาจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๕ ให้จำคุก ๖ เดือน
จำเลยในสำนวนแรกและจำเลยในสำนวนหลังฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นางอรจำเลยได้ออกเช็ครายพิพาทให้นางวัจนาโจทก์เป็นการชำระหนี้เพื่อต้นเงินและดอกเบี้ยที่นางวัจนาโจทก์จะต้องเสียไปเพราะเหตุที่เอาที่ดินไปจำนองค้ำประกันหนี้นายสดสามีนางอรจำเลย แต่ยังมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คและนางวัจนาโจทก์ได้กรอกวันที่สั่งจ่ายลงในเช็คเอาเองโดยมิได้แจ้งให้นางอรจำเลยทราบ เห็นว่าลักษณะความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือฐานออกเช็คโดยรู้อยู่แล้วว่า ในขณะออกเช็คไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงจ่ายให้ได้นั้น สารสำคัญของความผิดทั้งสองฐานนี้อยู่ที่วันออกเช็ค คือ วันที่สั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คนั้น ถ้าเช็ครายใดผู้ออกเช็คไม่ได้ลงวันที่ออกเช็ค ก็ไม่มีทางที่จะให้ผู้ออกเช็คทราบได้ว่าจะให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นในวันใด ซึ่งวันนั้นผู้ออกเช็คจะได้เตรียมเงินไว้ในบัญชีที่ธนาคารอันจะพึงจ่ายเงินตามเช็คนั้นหรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เช็คที่ไม่มีวันออกเช็ค ถือได้ว่าไม่มีวันที่ผู้ออกเช็คกระทำผิด สัญญาจำนองที่นางวัจนาโจทก์ทำกับนางเกษมศรีก็มิได้มีกำหนดเวลาการใช้เงิน ดังนั้น จะเกณฑ์ให้ผู้ออกเช็คต้องรับผิดมีเงินอยู่ในธนาคารตลอดเวลาย่อมไม่ได้แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๙๑๐ ประกอบกับมาตรา ๙๘๙ จะให้สิทธิผู้ทรงเช็คไว้ว่า ถ้าเช็ครายใดมิได้ลงวันออกเช็ค ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใดทำการโดยสุจริต จะจดวันที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้ แต่การที่กฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ทรงเช็คเช่นนี้ เพียงแต่ให้เช็คฉบับนั้นเป็นเช็คที่มีรายการสมบูรณ์ตามกฎหมาย ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ในทางแพ่งเท่านั้น หามีผลที่จะลงโทษผู้ออกเช็คในทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ อนุมาตรา (๑ ) และ (๒) ไม่ การกระทำของนางอรจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามที่นางวัจนาเป็นโจทก์ฟ้อง
ส่วนสำนวนคดีหลังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางอรโจทก์ออกเช็ครายพิพาทฉบับนี้ให้นางวัจนาจำเลยเป็นการชำระหนี้เพื่อต้นเงินและดอกเบี้ยที่นางวัจนาจำเลยจะต้องเสียไปเพราะเหตุที่นางวัจนาจำเลยเอาโฉนดไปจำนองค้ำประกันหนี้ของนายสดสามีของนางอรโจทก์แม้เช็ครายพิพาทจะไม่มีวันที่สั่งจ่าย นางวัจนาจำเลยก็มีสิทธิเข้าใช้สิทธินั้นโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๐ และมาตรา ๙๘๙ ที่จะลงวันที่สั่งจ่ายที่ถูกต้องแท้จริงในเช็คได้ เมื่อเช็คฉบับนั้นมีรายการสมบูรณ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว นางวัจนาจำเลยนำเช็คไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะเงินในบัญชีของนางอรโจทก์ไม่พอจ่าย นางวัจนาจำเลยจึงได้นำเช็ครายพิพาทไปฟ้องขอให้ศาลลงโทษนางอรโจทก์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ แม้การกระทำของนางอรโจทก์จะไม่เป็นความผิดตามที่นางวัจนาจำเลยกล่าวหา เพราะเช็ครายพิพาทไม่ได้ลงวันออกเช็คในขณะที่นางอรโจทก์มอบเช็คให้นางวัจนาจำเลยไปก็ตาม แต่ก็มีเหตุอันทำให้นางวัจนาจำเลยเข้าใจผิดได้ว่า การกระทำของนางอรโจทก์ในกรณีเช่นนี้ เป็นความผิดฐานออกเช็คโดยมีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คแล้ว
เหตุที่ทำให้นางวัจนาจำเลยเข้าใจผิด คือสิทธิของผู้ทรงเช็คในอันที่จะลงวันออกเช็ครายพิพาทได้ ดังนั้น การกระทำของนางวัจนาจำเลยที่กระทำไปตามสำนวนคดีแรก จะถือว่านางวัจนาจำเลยนำความอันเป็นเท็จมาฟ้องนางอรโจทก์ต่อศาลว่า กระทำผิดอาญาหาได้ไม่
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยพิพากษายกฟ้องนางวัจนาโจทก์ในคดีแรกและยกฟ้องนางอรโจทก์ในคดีหลัง.