คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371-1372/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งให้จำเลยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากการกระทำละเมิดต่อโจทก์ แม้จะได้ความว่าผู้เสียหายผู้เป็นโจทก์มีส่วนกระทำการอันเป็นละเมิดนั้นอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของผู้เสียหายหมดไป
แม้สัญญาการเดินรถร่วมกันระหว่างบริษัทจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นเจ้าของรถจะไม่มีกรรมการลงชื่อแทนบริษัทอันเป็นการผิดข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 3 ก็ตาม เมื่อบริษัทจำเลยที่ 3 รับเอาผลของสัญญาและปล่อยให้รถของจำเลยที่ 2 เดินร่วมทางและให้อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 3 รับส่งคนโดยสารในปกติธุรกิจของตนเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถคันนี้แล้ว เมื่อจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 กระทำการอันเป็นละเมิดขึ้นจำเลยที่ 3 ย่อมต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 และที่ 1 ในผลแห่งการละเมิดนั้นด้วย
การคำนวณค่าสินไหมทดแทนในกรณีละเมิดนั้น เมื่อความเสียหายอันเกิดจากการละเมิดนั้น ผู้เสียหายมีส่วนกระทำการละเมิดนั้นอยู่ด้วยก็ต้องนำบทบัญญัติมาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ แต่ศาลย่อมมีอำนาจหยิบยกเอาเหตุที่โจทก์มีส่วนประมาทด้วยมาเป็นข้อวินิจฉัยได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ โจทก์ต่างคนกัน จำเลยเป็นคน ๆ เดียวกันศาลพิจารณาพิพากษารวมเข้าด้วยกัน โดยโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารซึ่งมีจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างทำหน้าที่เป็นคนขับ ร่วมกันรับผิดในการกระทำละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไปในทางการที่จ้างโดยประมาทชนรถยนต์ซึ่งเป็นของโจทก์ในคดีหลัง โดยโจทก์ในคดีแรกเป็นคนขับ ทำให้โจทก์ในสำนวนแรกได้รับอันตรายแก่กาย และรถของโจทก์ในคดีหลังเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในคดีแรก 6,180 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จใช้ค่าเสียหายให้โจทก์คดีหลังเป็นค่าซ่อมรถเป็นเงิน 58,750 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยจากวันฟ้องด้วย

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์คันเกิดเหตุซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 จริง จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำประมาท แต่เป็นเพราะโจทก์ในคดีแรกประมาทขับรถตัดหน้ารถจำเลยที่ 1 ในระยะกระชั้นชิด จึงเป็นเหตุให้ชนกัน โจทก์คดีแรกจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายของโจทก์ทั้ง 2 สำนวนไม่ถึงตามจำนวนที่เรียกร้อง

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับร่วมกัน จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3ไม่เคยใช้รถยนต์คันนี้รับส่งคนโดยสาร การที่รถชนกันไม่ใช่ความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เป็นความประมาทของโจทก์ในคดีแรกเอง ค่าเสียหายก็ไม่ถึงจำนวนที่โจทก์เรียกร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เชื่อว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 และนำรถเข้าวิ่งร่วมทางเดียวกับรถยนต์ของบริษัทจำเลยที่ 3 จำเลยทั้งสามต้องรับผิดร่วมกันพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์สำนวนแรก 3,680 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้ใช้เงินแก่โจทก์สำนวนหลัง 31,150 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 3 ผู้เดียวอุทธรณ์ว่า หลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 803/2507 ของศาลแขวงสงขลาแล้วว่า โจทก์ในคดีแรกเป็นผู้ประมาทเลินเล่อในเหตุรถชนกันนี้ด้วย โจทก์คดีแรกจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในคดีแรกไม่เกิน 200 บาท คดีหลังค่าเสียหายไม่เกิน 12,000 บาท

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่เป็นฝ่ายกระทำละเมิดต่อโจทก์แม้จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 แต่รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับ เป็นรถที่ร่วมวิ่งอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับรถของบริษัทจำเลยที่ 3 การที่ลูกจ้างบริษัทจำเลยที่ 3 ลงชื่อและประทับตราบริษัทในสัญญาการเดินรถร่วม จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ก็ได้รับเอาผลของนิติกรรมนั้นตลอดมา บริษัทจำเลยที่ 3 จะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ ปรากฏว่าโจทก์ในคดีแรกเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่ออยู่ด้วย แต่จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อมากกว่าค่าเสียหายจึงคำนวณให้ตามส่วน พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์คดีแรก 2,463 บาท โจทก์คดีหลัง 20,766 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่ง จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์คดีหลังฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้รับน้อยลงโดยถือว่าโจทก์ในคดีแรกคนขับรถของโจทก์ในคดีหลังประมาทเลินเล่อด้วยนั้นยังไม่ชอบ เพราะมิใช่ประเด็นที่ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น และจำเลยมิได้สืบหักล้าง อีกทั้งคนขับรถของโจทก์คดีหลังไม่ได้ประมาท

จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์คดีแรกไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะเป็นผู้เสียหายมีส่วนประมาทด้วยกัน จำเลยที่ 3 ไม่ใช่เจ้าของรถคันที่จำเลยคดีแรกขับ จำเลยไม่ต้องรับผิด ศาลอุทธรณ์คิดค่าเสียหายให้โจทก์มากเกินสมควร

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การฟ้องคดีแพ่งหาว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์แม้ทางพิจารณาในส่วนอาญาจะฟังว่าโจทก์มีส่วนประมาทอยู่บ้างก็หาทำให้อำนาจฟ้องทางแพ่งของโจทก์หมดไปไม่ เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายทำให้โจทก์เสียหายแล้ว โจทก์จะเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ ศาลจะต้องคำนึงถึงความเสียหายว่าฝ่ายใดก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ประเด็นในเรื่องความรับผิดของจำเลยที่ 3 ศาลฎีกาเห็นพ้องกับความเห็นของศาลอุทธรณ์ แม้สัญญาฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2506นี้จะไม่มีกรรมการบริษัทลงชื่อแทนจำเลยที่ 3 ก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 3รับเอาผลของสัญญา และปล่อยให้รถจำเลยที่ 2 เดินร่วมทางและให้อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 3 รับส่งคนโดยสารในปกติธุรกิจของตนเช่นนี้ ถือว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถคันนี้แล้ว จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดร่วมต่อโจทก์

ประเด็นในเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยที่ 3 ฎีกา เห็นว่าสมควรแล้วไม่มีทางกลับแก้

ประเด็นในเรื่องศาลอุทธรณ์แก้ค่าเสียหายตามที่โจทก์คดีแรกฎีกา เห็นว่า การคำนวณค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ฉะนั้นในเรื่องนี้เมื่อปรากฏความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยก็ต้องนำบทบัญญัติมาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับแก่กรณีดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นชอบด้วยโจทก์เถียงว่าโจทก์คดีแรกไม่ได้ประมาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำเบิกความของสิบตำรวจเอกสุรชัยเอง คำร้อยตำรวจโทวีระ พนักงานสอบสวน แผนที่เกิดเหตุ และสำนวนคดีอาญาแดงที่ 803/2507 ของศาลแขวงสงขลา ฟังได้ว่าสิบตำรวจเอกสุรชัยเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่ออยู่ด้วย เป็นเหตุให้รถชนกัน ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share