แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของ พ. โดยอ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมของ พ. ประการหนึ่งกับอ้างว่าเป็นทายาทของ พ. ตามบัญชีเครือญาติ ท้ายฟ้องด้วยอีกประการหนึ่ง ตามบัญชีเครือญาติโจทก์แสดงว่า พ. มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันหลายคนรวมทั้ง ว. บิดาโจทก์ ว. ตายไปแล้ว ซึ่งพอเป็นที่เข้าใจถึงการเป็นทายาทของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิรับมรดก ของ พ. แทนที่ ว. ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายถึงสภาพการเป็นทายาท ของโจทก์ว่าเป็นมาโดยลำดับอย่างไรไว้ในคำฟ้องแล้วเพราะบัญชีเครือญาติ ก็เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง
แม้โจทก์จะไม่มีสิทธิรับมรดกของ พ. ในฐานะเป็นบุตรบุญธรรมแต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกในฐานะที่เป็นทายาทตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องมาด้วย คดีจึงมีประเด็นซึ่งจะต้องพิจารณาวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นทายาทรับมรดกแทนที่ ว. บิดา ตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องจริงหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางสาวพัง ชีระพันธุ์ ไม่มีสามีและบุตรถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2507 มีทรัพย์มรดกตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง โจทก์เป็นบุตรบุญธรรมของนางสาวพังมาตั้งแต่ก่อนพ.ศ. 2470 และเป็นทายาทของนางสาวพังตามบัญชีเครือญาติซึ่งเสนอมาพร้อมกับฟ้อง โจทก์เป็นผู้รับมรดกของนางสาวพัง แต่จำเลยยึดเก็บเอาทรัพย์มรดกไว้ทั้งหมด ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยส่งมอบทรัพย์มรดก ฯลฯ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นบุตรบุญธรรมของนางสาวพังบัญชีเครือญาติไม่ถูกต้อง โจทก์ถูกตัดมรดกโดยพินัยกรรม ฯลฯ
ในวันศาลทำการชี้สองสถาน ทนายโจทก์แถลงว่า เมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว นางสาวพังไม่ได้จดทะเบียนโจทก์เป็นบุตรบุญธรรมของนางสาวพัง
ศาลชั้นต้นให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดก พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องพอเข้าใจว่านางสาวพังเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายวิศิษบิดาโจทก์นายวิศิษตาย โจทก์จึงเป็นทายาทรับมรดกแทนที่นายวิศิษ จำเลยให้การต่อสู้ว่าบัญชีเครือญาติไม่ถูกต้อง นางสาวพังทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้จำเลย โจทก์ถูกตัดมรดกโดยพินัยกรรม คดีมีประเด็นจะต้องชี้ขาดต่อไปว่า โจทก์เป็นทายาทรับมรดกแทนที่นายวิศิษตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องจริงหรือไม่ และโจทก์ถูกตัดโดยพินัยกรรมจริงหรือไม่ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาสืบพยานในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องเห็นได้ชัดว่า โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของนางสาวพังโดยอ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมของนางสาวพังประการหนึ่งกับอ้างว่า เป็นทายาทของนางสาวพังตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องอีกประการหนึ่งตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องโจทก์แสดงว่านางสาวพังมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันหลายคนร่วมทั้งนายวิศิษบิดาโจทก์นายวิศิษตายไปแล้ว ซึ่งพอเป็นที่เข้าใจถึงการเป็นทายาทของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายวิศิษบิดา ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายถึงสภาพการเป็นทายาทของโจทก์ว่าเป็นมาโดยลำดับอย่างไรไว้ในคำฟ้องแล้ว เพราะบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องก็เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง
คดีนี้ แม้โจทก์จะไม่มีสิทธิได้รับมรดกนางสาวพังในฐานะเป็นบุตรบุญธรรม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกในฐานะที่เป็นทายาทตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องมาด้วย คดีจึงมีประเด็นซึ่งจะต้องพิจารณาว่าโจทก์เป็นทายาทรับมรดกแทนที่นายวิศิษตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องจริงหรือไม่ โจทก์ถูกตัดมรดกโดยพินัยกรรมจริงหรือไม่
พิพากษายืน