คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อฟ้องของโจทก์ในคดีนี้มีประเด็นว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของใคร นิติกรรมซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่ เป็นประเด็นเช่นเดียวกับที่ได้ฟ้องร้องกันมาแล้วในคดีก่อน และศาลได้วินิจฉัยประเด็นข้อโต้เถียงระหว่างโจทก์จำเลยแล้วทุกประเด็น จึงเป็นฟ้องซ้ำซึ่งต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
การที่ศาลสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องและคำให้การในคดีเรื่องก่อนก็ดี สั่งงดไม่ให้สืบพยานก็ดีล้วนแต่เป็นเรื่องดำเนินการพิจารณาในคดีทั้งสิ้น คำสั่งของศาลดังกล่าวจะเป็นการถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันให้ถึงที่สุดไปด้วยการอุทธรณ์ฎีกาคู่ความจะหาวิธีแก้ด้วยการยื่นคำฟ้องใหม่โดยหวังจะให้คำพิพากษาในคดีเรื่องใหม่นี้ลบล้างคำพิพากษาเรื่องก่อนซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมายผูกพันคู่ความอยู่แล้วในประเด็นเดียวกันหาได้ไม่

ย่อยาว

เดิมจำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 2 ในคดีนี้ออกจากที่พิพาทตามคดีแพ่งแดงที่ 72-73/2499 ของศาลจังหวัดชลบุรีโจทก์ที่ 1 ในคดีนี้ขอเข้าเป็นจำเลยร่วมกับโจทก์ที่ 2 ด้วย แล้วโจทก์ทั้ง 2 ในคดีนี้ได้ฟ้องจำเลยในคดีนี้เป็นคดีอีกสำนวนหนึ่ง ใจความว่า โจทก์ในคดีนี้ได้ซื้อที่พิพาทไว้ ต่อมาโจทก์ที่ 2 ประสงค์จะกันทรัพย์รายนี้มิให้ตกได้แก่บุตรและภริยาอื่นของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 จึงทำนิติกรรมอำพรางลงวันที่ 15 ก.พ. 96ขายให้จำเลยในคดีนี้ โจทก์ที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมและได้บอกล้างสัญญาซื้อขายดังกล่าวแล้ว ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นนิติกรรมอำพราง ฯลฯ

คดีสองสำนวนดังกล่าว ศาลสั่งรวมพิจารณา หลังวันชี้สองสถานโจทก์ทั้ง 2 ในคดีนี้ยื่นคำร้องขอแก้คำฟ้องเกี่ยวกับหนังสือสัญญาซื้อขายในสำนวนดังกล่าวจากวันที่ 15 ก.พ. 96 เป็นวันที่ 16 ก.พ. 96 จำเลยในคดีนี้คัดค้านไม่ให้แก้ ศาลจึงไม่อนุญาตให้แก้คำฟ้องในคดีก่อนและวินิจฉัยว่า โจทก์ในคดีนี้ไม่มีประเด็นจะสืบตามฟ้องและคำให้การในคดีก่อนได้พิพากษาให้ยกฟ้องสำนวนที่โจทก์ในคดีนี้เป็นโจทก์และให้จำเลยในคดีนี้ชนะ ขับไล่โจทก์ในคดีนี้ คดีทั้งสองสำนวนนี้ถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้น

โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ใหม่อีก โดยกล่าวบรรยายฟ้องอย่างเดียวกับที่ได้ฟ้องจำเลยนี้ในสำนวนก่อน ผิดกันแต่ฟ้องในคดีนี้บรรยายเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายที่โจทก์อ้างว่าเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น โจทก์บรรยายฟ้องในคดีใหม่นี้ว่า ฉบับลงวันที่ 16 ก.พ. 96 เพราะระบุในฟ้องสำนวนก่อนผิดไป ได้ร้องขอแก้แล้วแต่ศาลสั่งยกคำร้องเสีย และท้ายคำฟ้องขอให้ศาลสั่งว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นโมฆะ และขอให้ศาลพิพากษายกเลิกหรือทำลายคำพิพากษาคดีแพ่งแดงที่ 72-73/2499 เสีย

จำเลยปฏิเสธและตัดฟ้องว่าเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งแดงที่ 72-73/2499 และเป็นฟ้องเคลือบคลุม

ก่อนสืบพยานจำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเรื่องฟ้องซ้ำและฟ้องเคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีแพ่งแดงที่ 72-73/2499 ศาลยังมิได้วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ของทรัพย์ตามสัญญาที่โจทก์อ้าง ฟ้องโจทก์จึงมิใช่ฟ้องซ้ำ และเห็นว่าไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมแต่เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องของโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์ในคดีนี้มีประเด็นว่า ทรัพย์เป็นของใคร นิติกรรมซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่เป็นประเด็นเช่นเดียวกับที่ได้ฟ้องร้องกันมาแล้วในสำนวนเรื่องก่อนนั่นเอง และศาลได้วินิจฉัยประเด็นข้อโต้เถียงระหว่างโจทก์จำเลยแล้วทุกประเด็น ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

การที่ศาลสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องและคำให้การในคดีเรื่องก่อนก็ดี สั่งงดไม่ให้สืบพยานก็ดี ล้วนแต่เป็นเรื่องดำเนินการพิจารณาในคดีเรื่องนั้นทั้งสิ้น คำสั่งของศาลดังกล่าวจะเป็นการถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันให้ถึงที่สุดไปในคดีเรื่องนั้นเองด้วยการอุทธรณ์ฎีกาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ โจทก์จะหาวิธีแก้ด้วยการยื่นคำฟ้องขึ้นมาใหม่โดยหวังจะให้คำพิพากษาในคดีเรื่องใหม่นี้ลบล้างคำพิพากษาเรื่องก่อนซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมายผูกพันโจทก์จำเลยคู่กรณีเดียวกันอยู่แล้วในประเด็นข้อหาเดียวกันไม่ได้

พิพากษายืน

Share