คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1247/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนมีการชี้สองสถานโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องโจทก์ว่าชื่อโจทก์ในคำฟ้องหน้าแรกช่องระบุชื่อคู่ความและช่องระบุชื่อโจทก์ ขอแก้ไขจากบริษัทอาทิตย์ – จันทร์ การลงทุนจำกัดเป็นบริษัท อาทิตย์ – จันทร์ ลงทุนจำกัดและสำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องหมาย 2 (หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี) โจทก์จะได้นำส่งฉบับที่ถูกต้องต่อศาลต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของโจทก์ว่า เป็นการแก้ไขเล็กน้อย อนุญาตสำเนาให้จำเลยและปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องไปแล้วเมื่อศาลอนุญาต คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว จึงถือว่าคำฟ้องของโจทก์ก็ดี หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ก็ดี ได้รับอนุญาตจากศาลให้แก่คำว่าบริษัท อาทิตย์ – จันทร์ การลงทุน จำกัด มาเป็นคำว่า บริษัทอาทิตย์ – จันทร์ลงทุนจำกัด ทุก ๆ คำ
จำเลยได้รับสำเนาหนังสือมอบอำนาจฉบับเดิมท้ายฟ้องซึ่งศาลอนุญาตให้แก้ไขแล้วไม่น้อยกว่า 3 วัน ก่อนวันนัดสืบพยาน ซึ่งจำเลยก็ทราบข้อความที่ศาลอนุญาตให้แก้ไขอยู่ก่อนแล้ว เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ส่งฉบับที่ถูกต้องภายหลังได้การที่โจทก์ส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจภายหลัง 3 วันก่อนสืบพยาน ย่อมไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โจทก์มอบอำนาจให้นายวิสุทธิ์ สุเมธเสนีย์ เป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์ จำเลยเป็นผู้เช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์เพื่อทำการค้า ในระหว่างเช่าจำเลยเอาปูนซีเมนต์หิน วัสดุก่อสร้างต่าง ๆ มาเก็บวางในอาคารทำให้อาคารทรุด โจทก์บอกให้จำเลยขนย้ายออกไปและจัดการซ่อมแต่จำเลยเพิกเฉย ครั้นครบกำหนดสัญญาเช่าโจทก์ได้บอกเลิกและให้จำเลยซ่อมแซม แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวพิพาทของโจทก์ให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหาย ๖๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑๘,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไป
จำเลยให้การว่าโจทก์มิใช่นิติบุคคล ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง สัญญาเช่าลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๔ ทำกันไว้หลอก ๆ ที่แท้จริงมีกำหนดระยะเวลาเช่ามากกว่า ๓ ปี อาคารตึกแถวไม่ชำรุด โจทก์มิได้เสียหาย ตึกแถวโจทก์ถ้าให้เช่าหรือหาประโยชน์จะได้ไม่ถึง ๑๘,๐๐๐ บาท จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาเช่ามาตลอด โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกและฟ้องขับไล่จำเลย ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๔๐,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ๑๓,๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากห้องแถวพิพาทตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเพียงว่าหนังสือมอบอำนาจหมาย ๙ ของโจทก์สมบูรณ์ใช้ได้หรือไม่ และการที่โจทก์นำสืบและอ้างส่งหนังสือมอบอำนาจหมาย จ.๙ ต่อศาลโดยไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลยก่อนสืบพยานไม่น้อยกว่า ๓ วัน เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ วรรคแรกหรือไม่ เห็นว่าก่อนมีการชี้สองสถานคดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องโจทก์ว่า ชื่อโจทก์ในคำฟ้องหน้าแรกช่องระบุชื่อคู่ความและช่องระบุชื่อโจทก์ ขอแก้ไขจากบริษัทอาทิตย์ – จันทร์การลงทุนจำกัด เป็นบริษัท อาทิตย์ – จันทร์ ลงทุนจำกัด และสำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องหมาย ๒ (หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี) โจทก์จะได้นำส่งฉบับที่ถูกต้องต่อศาลต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของโจทก์ว่า เป็นการแก้ไขเล็กน้อย อนุญาตสำเนาให้จำเลยและปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องไปแล้ว เมื่อศาลอนุญาตคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว จึงถือว่าคำฟ้องของโจทก์ก็ดี หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ก็ดี ได้รับอนุญาตจากศาลให้แก้คำว่า บริษัทอาทิตย์ – จันทร์ การลงทุน จำกัด มาเป็นคำว่า บริษัท อาทิตย์ – จันทร์ ลงทุนจำกัด ทุก ๆ คำ ส่วนการที่โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ขอส่งใหม่ภายหลังชี้สองสถานและก่อนสืบพยานโจทก์ ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนนั้นเห็นว่า คดีนี้ จำเลยได้รับสำเนาหนังสือมอบอำนาจฉบับเดิมท้ายฟ้องซึ่งศาลอนุญาตให้แก้ไขแล้วไม่น้อยกว่า ๓ วัน ก่อนวันนัดสืบพยาน ซึ่งจำเลยก็ทราบข้อความที่ศาลอนุญาตให้แก้ไขอยู่ก่อนแล้ว เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ส่งฉบับที่ถูกต้องภายหลังได้ การที่โจทก์ส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจภายหลัง ๓ วันก่อนสืบพยานย่อมไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ แต่อย่างใดฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share