คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้น จะต้องปรากฏ ข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ร่วมใจกันในการที่จะใช้กำลังประทุษร้ายนั้นด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๔๐ ขอให้ศาลแขวงพระนครใต้ไต่สวนประทับฟ้อง หรือพิจารณาพิพากษาต่อไป
ศาลแขวงพระนครใต้ ไต่สวนแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า การชิงทรัพย์ของนายสมพงษ์คนร้ายนั้นเกี่ยวพันกับจำเลยทั้งสองนี้ด้วย จึงให้ประทับรับฟ้องสำหรับจำเลยทั้งสองเพียงความผิดฐานสมคบกันลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ วรรคท้าย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า การปล้นมาตรา ๓๔๐ นั้น ไม่จำเป็นต้องลงมือทั้ง ๓ คน แม้คนเดียวทำการชิงทรัพย์หรือทำร้ายเจ้าทรัพย์เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา ๓๓๙ และต่อเนื่องกันเพื่อความสำเร็จในความผิดฐานลักทรัพย์โดยได้คบติดกันมาก่อนก็เป็นการปล้นทรัพย์แล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดของจำเลยถ้าจะมีมูลในฐานปล้นทรัพย์ จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ร่วมใจในการที่นายสมพงษ์คนร้ายจะใช้กำลังประทุษร้ายนั้นด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ทั้งสองศาลฟังต้องกันมากว่าจำเลยทั้งสองมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยพิพากษายืน.

Share