คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 581/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเอาที่ดินของโจทก์ไปจำนองไว้กับสหกรณ์โดยจำเลยใช้อุบายหลอกลวงกล่าวเท็จกับพนักงานสหกรณ์ว่าเป็นที่ดินของจำเลย พนักงานสหกรณ์หลงเชื่อจึงยอมรับจำนองที่ดินไว้ และจ่ายเงินแก่จำเลยไป ดังนี้ เป็นเรื่องจำเลยฉ้อโกงสหกรณ์ โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ถูกหลอกลวงฉ้อโกง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงได้ แต่ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ ต่อพนักงานสหกรณ์นั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายเหมือนกัน โจทก์จึงมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ ต่อเจ้าพนักงานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยแจ้งความเท็จต่อพนักงานสหกรณ์ว่า ที่ดินของโจทก์แปลงหนึ่งเป็นของจำเลยแล้วจำเลยขอจำนองที่ดินนั้นไว้แก่สหกรณ์ พนักงานสหกรณ์หลงเช่อยอมรับจำนองไว้ และจ่ายเงินให้จำเลยไปแล้วทั้งนี้โดยจำเลยใช้อุบายหลอกลวงประกอบด้วยเอาความเท็จมากล่าวโดยเจตนาทุจริตคิดฉ้อโกงโจทก์ ขอให้ลงโทษฐานแจ้งความเท็จ และฉ้อโกงตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๑๘, ๓๐๖.
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่ครบองค์ความผิด พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์ฐานแจ้งความเท็จ โจทก์ได้บรรยายให้เห็นได้แล้วว่า โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยจำเลยเอาที่ดินของโจทก์ ไปจำนองไว้กับสหกรณ์ โจทก์ไม่จำเป็นต้องยกในฟ้องโดยตรงอีกว่า โจทก์ได้รับความเสียหายฟ้องฐานนี้ เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงนั้น เฉพาะเรื่องนี้ โจทก์ไม่ได้ถูกหลอกลวงฉ้อโกงโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานนี้ได้
พิพากษาแก้ ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องในฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา ๑๑๘ ฐานเดียว

Share