คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8870/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาท ยังไม่มีการจดทะเบียนสิทธิโอนที่ดินพิพาท แต่เมื่อได้ยึดมาแล้วต้องนำออกขายทอดตลาด หากมีผู้ซื้อได้ก็ต้องมีการโอนทางทะเบียนให้แก่ผู้ซื้อ จึงมิใช่เพียงแต่ยึดไว้เท่านั้น การที่ศาลในคดีอื่นได้พิพากษาบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องแล้ว ที่ดินพิพาทจะต้องตกเป็นของผู้ร้องเท่านั้น ไม่มีเหตุที่จะให้ที่ดินพิพาทหลุดมือจากผู้ร้องตกไปเป็นของผู้อื่น จึงถือได้ว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 แม้โจทก์จะได้นำยึดที่ดินพิพาทไว้ก่อนที่ศาลจะพิพากษาบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้อง แต่ศาลก็ไม่อาจปล่อยให้มีการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทได้ เพราะผู้ที่ซื้อได้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับโอนเนื่องจากผู้ร้องเท่านั้นที่มีสิทธิจะได้รับโอน ทั้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 ก็มีบทบัญญัติไม่ให้การยึดทรัพย์มีผลกระทบถึงสิทธิของผู้ร้อง
ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคนหนึ่งมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษากับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกคนหนึ่งได้นั้น หมายถึง เจ้าหนี้ผู้ที่จะมาขอเฉลี่ยต้องเป็นผู้ไม่มีอำนาจเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ ส่วนกรณีที่ผู้ร้องได้สิทธิโดยคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้อง ผู้ร้องมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้อยู่แล้วจึงไม่มีกรณีที่จะต้องมาขอเฉลี่ยทรัพย์ แม้โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยก็ไม่มีสิทธิยึดที่ดินเพื่อบังคับคดีให้กระทบกระทั่งสิทธิ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 394,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยและใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9708 ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ของจำเลยเพื่อออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ย.923/2542 หมายเลขแดงที่ ย.397/2545 ของศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2545 ให้จำเลยชำระหนี้แก่ผู้ร้องเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9708 ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ แก่ผู้ร้อง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงแทนเจตนาของจำเลย จำเลยทราบคำพิพากษาแล้วเพิกเฉยไม่ชำระหนี้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องประสงค์จะบังคับตามคำพิพากษาโดยให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวแสดงเจตนาโอนที่ดิน แต่ไม่อาจบังคับได้เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2541 โจทก์นำยึดที่ดินแปลงดังกล่าวของจำเลยไว้ก่อนแล้ว ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิได้รับโอนที่ดินตามคำพิพากษาก่อนเจ้าหนี้รายอื่น โดยได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 การนำยึดที่ดินของโจทก์จึงเป็นการกระทบสิทธิของผู้ร้อง ทำให้ผู้ร้องเสียหาย ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการยึด
โจทก์และจำเลยไม่คัดค้าน
ก่อนผู้ร้องยื่นคำร้อง จำเลยถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้นายดวงดีเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9708 ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้และศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดีและเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2541 เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9708 ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ส่วนผู้ร้องยื่นฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ หากไม่ชำระให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9708 ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ชำระหนี้เงินกู้ตามข้อตกลงและคดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2545 โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้อง หากไม่ชำระให้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9078 แก่ผู้ร้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า กรณีที่จะถือว่าผู้ร้องได้รับความคุ้มครองเพราะอยู่ในฐานะเป็นผู้ที่จะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนนั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อันเป็นเหตุให้ผู้อยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนเสียเปรียบ แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ เป็นเรื่องเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่พิพาท ไม่มีการจดทะเบียนสิทธิใดๆ ผู้ร้องจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 นั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาท ยังไม่มีการจดทะเบียนสิทธิโอนทรัพย์พิพาท แต่เมื่อได้ยึดทรัพย์พิพาทมาแล้วก็ต้องนำทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาด หากมีผู้ซื้อได้ก็ต้องมีการโอนทางทะเบียนให้แก่ผู้ซื้อ จึงมิใช่เพียงแต่ยึดทรัพย์ไว้เท่านั้น การที่ศาลในคดีอื่นได้พิพากษาบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องแล้ว เห็นได้ว่าที่ดินพิพาทจะต้องตกเป็นของผู้ร้องเท่านั้น ไม่มีเหตุที่จะให้ที่ดินพิพาทหลุดมือจากผู้ร้องตกไปเป็นของผู้อื่น กรณีจึงถือได้ว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 กล่าวคือ ผู้ร้องมีสิทธิที่จะได้รับโอนที่ดินพิพาทเป็นคนแรกก่อนใครอื่น อันเป็นทรัพยสิทธิที่สามารถใช้ยันบุคคลภายนอกได้ทั่วไป ด้วยเหตุนี้ แม้โจทก์จะได้นำยึดที่ดินพิพาทไว้ก่อนที่ศาลจะพิพากษาบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องก็ตาม แต่ศาลก็ไม่อาจปล่อยให้มีการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทได้ เพราะผู้ที่ซื้อได้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับโอนเนื่องจากผู้ร้องเท่านั้นที่มีสิทธิจะได้รับโอน ทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ก็มีบทบัญญัติไม่ให้การยึดทรัพย์มีผลกระทบถึงสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และที่โจทก์ฎีกาข้อต่อไปว่า สิทธิตามคำพิพากษาของผู้ร้องเกิดขึ้นภายหลังโจทก์นำยึดที่ดินแปลงดังกล่าวและผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเช่นเดียวกับโจทก์ ผู้ร้องชอบที่จะขอเฉลี่ยหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคนหนึ่งมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษากับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกคนหนึ่งนั้น หมายถึง เจ้าหนี้ผู้ที่จะมาขอเฉลี่ยเป็นผู้ไม่มีอำนาจเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ ส่วนกรณีของผู้ร้องนี้ ผู้ร้องได้สิทธิโดยคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้อง ผู้ร้องมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้อยู่แล้ว จึงไม่มีกรณีที่จะต้องมาขอเฉลี่ยทรัพย์โจทก์แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยก็ไม่มีสิทธิยึดที่ดินนั้นเพื่อบังคับคดีให้กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการยึดที่ดินแปลงดังกล่าวจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share