แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ โดยอ้างเหตุแต่เพียงว่า มีพยานหลักฐานใหม่ตามบัญชีพยานท้ายคำร้องที่จะแสดงชี้ชัดเท่านั้น ไม่ปรากฏข้ออ้างโดยละเอียดชัดแจ้งเพื่อให้เห็นว่า พยานหลักฐานใหม่มีความเป็นมาอย่างไร เหตุใดจึงไม่นำมาพิสูจน์ว่าผู้ร้องมิได้กระทำความผิดตั้งแต่แรก ที่สำคัญพยานหลักฐานใหม่นั้นมีความสำคัญแก่คดีมากพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาที่ได้พิพากษาลงโทษผู้ร้องไปแล้วได้หรือไม่ เมื่อคำร้องของผู้ร้องอ้างเหตุตาม พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2525 มาตรา 5 (3) แต่มิได้อ้างเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งตามมาตรา 8 จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดี คำร้องขอของผู้ร้องจึงไม่มีมูล ศาลชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวน แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยมิได้ทำความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ย่อมไม่ชอบด้วย มาตรา 10 เพราะอำนาจในการมีคำสั่งตามคำร้องในคดีเป็นของศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อคดีได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งใหม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษผู้ร้องฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน วางโทษประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก ๑ ปี และฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก ๖ เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบมาตรา ๕๒ (๑) ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก ๘ เดือน และฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก ๔ เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว ให้จำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ และศาลฎีกาพิพากษายืน ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ อ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้อง ปรากฏตามบัญชีพยานท้ายคำร้อง
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้ววินิจฉัยว่า คำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ต้องระบุเหตุตามกฎหมายโดยละเอียดชัดแจ้ง (มาตรา ๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖) ตามคำร้อง ของผู้ร้องเป็นแต่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล และอ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่เข้าพิสูจน์ ความบริสุทธิ์ของผู้ร้อง แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าพยานหลักฐานใหม่ที่อ้างนั้น เป็นพยานหลักฐานใหม่ อันชัดแจ้งอย่างไร และเพราะเหตุใดจึงไม่นำมาสืบในชั้นพิจารณา (เดิม) ไม่ชอบด้วยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖ ไม่รับคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของผู้ร้องว่า คำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญา ขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ของผู้ร้องมีมูลตามกฎหมายที่ชอบจะรับไว้ไต่สวนหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดี ขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่โดยอ้างเหตุตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๕ (๓) ซึ่งมาตรา ๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้คำร้องนั้นต้องอ้างเหตุตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๕ โดยละเอียดชัดแจ้ง แต่ปรากฏว่าคำร้องของผู้ร้องอ้างแต่เพียงว่ามีพยานหลักฐานใหม่ตามบัญชีพยานท้ายคำร้องที่จะแสดงชี้ชัดเท่านั้น ไม่ปรากฏข้ออ้างโดยละเอียดชัดแจ้งเพื่อให้เห็นว่า พยานหลักฐานใหม่มีความเป็นมาอย่างไร เหตุใดจึงไม่นำมาพิสูจน์ว่าผู้ร้องมิได้กระทำความผิดตั้งแต่แรก ที่สำคัญพยานหลักฐานใหม่นั้นมีความสำคัญแก่คดีมากพอ ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาที่ได้พิพากษาลงโทษผู้ร้องไปแล้วได้หรือไม่ เมื่อคำร้องมิได้อ้างเหตุ โดยละเอียดชัดแจ้งเช่นนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดี คำร้องขอของผู้ร้อง จึงไม่มีมูล และชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวน ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น แต่การที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยมิได้ทำความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์ เพื่อให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้นไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๑๐ เพราะอำนาจในการมีคำสั่งตามคำร้องในคดีนั้น เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏว่าคดีนี้ได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งใหม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ และคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ยกคำร้องของผู้ร้อง.