แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีเดิม โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทำยอม ให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทนั้นให้โจทก์ จึงเป็นคนละประเด็นกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าประนีประนอมยอมความแล้ว จะฟ้องโดยตั้งข้อหาเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ชอบที่จะบังคับไปตามสัญญายอม โดยมิได้ยกกฎหมายสนับสนุน ก็คงหมายถึงว่าเป็นฟ้องซ้ำนั่นเองจึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อนี้อีก
ในคดีที่จำเลยยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ที่พิพาทก็ตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นโดยไม่จำต้องบังคับอะไรอีก ฉะนั้น การที่โจทก์มิได้ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี จึงหาทำให้สิทธิของโจทก์ที่ได้ที่พิพาทดังกล่าวแล้วต้องเสียไปแต่อย่างใดไม่
โจทก์ร้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้แบ่งแยกที่ดินตามยอมให้โจทก์ โดยที่คำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้แบ่งแยกไว้ด้วย เช่นนี้ เป็นเรื่องเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินภายในโฉนดที่ ๒๙๑๙ และนอกโฉนดรวมเนื้อที่ ๓ งาน ๑๐ วาเป็นของโจทก์ให้จำเลยแบ่งแยกให้โจทก์ จำเลยให้การฟ้องแย้งต่อสู้ ขอให้พิพากษาขับไล่โจทก์และบริวารออกจากที่พิพาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเนื้อที่ ๒ งานตามแผนที่กลางในคดีแพ่งแดงที่ ๒๓๑/๒๔๙๔ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดให้โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายดังนี้แล้วเห็นว่าคดีเดิม คือคดีแพ่งแดงที่ ๒๓๑/๒๔๙๔ ของศาลชั้นต้นนั้น โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ และ ๒ ในคดีนี้เป็นจำเลย หาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยตกลงประนีประนอมยอมความให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ครั้นเวลาล่วงเลยมากว่า ๑๐ ปี โจทก์ร้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินตามยอมให้โจทก์ ศาลไม่บังคับให้ อ้างว่าเกิน ๑๐ ปีแล้ว โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยทั้ง ๔ ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมกัน ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยแบ่งแยกให้โจทก์ ดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่าประเด็นในคดีเดิมเป็นเรื่องขอให้ศาลขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องขอแบ่งแยก เป็นคนละประเด็นกัน ที่โจทก์กล่าวว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทอยู่และให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ด้วยนั้น เป็นเพียงโจทก์ยืนยันกรรมสิทธิ์เพื่อประสงค์จะขอแบ่งแยก เหตุนี้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ปัญหาที่ว่า คดีโจทก์มีการประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์จะฟ้องโดยตั้งข้อหาเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ชอบที่จะบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยมิได้ยกบทกฎหมายอะไรมาสนับสนุน เพียงกล่าวมาลอย ๆ ที่อ้างว่าฟ้องอีกไม่ได้ก็คงเป็นฟ้องซ้ำนั่นเอง จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอีก
ปัญหาที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในคดีเดิมนั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ และ ๒ ยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว ที่พิพาทก็ตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่จำต้องบังคับอะไรอีก ที่โจทก์มาร้องขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองในคดีเดิมให้แบ่งแยกนั้นน่าจะเป็นเรื่องเกินคำขอ เพราะคำขอในคดีเดิมไม่ได้ขอให้แบ่งแยกไว้ด้วย ฉะนั้น ที่โจทก์มิได้ขอให้บังคับคดีภายใน ๑๐ ปี จึงมิได้ทำให้สิทธิของโจทก์ที่ได้พิพาทดังกล่าวแล้วต้องเสียไปแต่อย่างไร
พิพากษายืน