แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4 การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคบได้ตามกฎหมายและข้อความดังกล่าวเป็นองค์ประกอบของความผิด เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องข้อความดังกล่าวไว้ แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ก็ย่อมต้องถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องขาดองค์ประกอบความผิดในมาตรา 4 คำฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกันยายน 2543 จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาวังจันทร์ เลขที่ 0656955 ลงวันที่ 5-9-43 สั่งจ่ายเงินจำนวน 200,000 บาท แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเบิกเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ให้เหตุผลว่าบัญชีปิดแล้ว ทั้งนี้จำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือออกเช็คโดยในขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชี อันจะพึงให้ใช้เงินหรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คจนจำนวนเงินไม่เพียงพอจะใช้เงินตามเช็คนั้น ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 จำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า การที่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ตั้งแต่เริ่มคดี แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะต่อสู้คดีจำเลยจึงไม่เสียเปรียบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) เจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น
(2) ในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้
(3) ให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น
(4) ถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีอันพึงจะให้ใช้เงินตามเช็คจนจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คนั้นได้
(5) ห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต…” ตามบทบัญญัติดังกล่าว การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้นจะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย และข้อความดังกล่าวเป็นองค์ประกอบของความผิด เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องข้อความดังกล่าวไว้ แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ก็ย่อมต้องถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องขาดองค์ประกอบของความผิดในมาตรา 4 คำฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องนั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน